แมนสรวง : กระเสือกกระสนเจียนตาย สุดท้ายก็เหลือแค่ ‘ตัวของเรา ใจของเรา’
- เขม เป็นเพียง ‘ไพร่’ นายรำจากคณะละครในเมืองแปดริ้ว ที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าได้ลงมือสังหารหลานชายของ พระยาบดีศร ขุนนางหัวเก่าผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองสยาม เขาและเพื่อนจึงต้องถูกขุนนางผู้ใหญ่รายนี้บีบบังคับให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในคดีนี้ โดยพวกเขาต้องเดินทางไปทำภารกิจเสี่ยงภัย ผ่านการแฝงตัวเข้าไปสืบราชการลับใน ‘แมนสรวง’ สถานเริงรมย์เร้นลับในกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้อาจเป็นแหล่งรวมของ ‘ดีลลับ’ ที่อาจเป็นภัยร้ายแรงต่อแผ่นดินสยาม โดยเฉพาะการก่อกบฏร่วมกันของคนไทยกับคนจีน
- และเมื่อเขมกับเพื่อน ผู้พยายามกระเสือกกระสนหนีการต้องโทษที่พวกเขาไม่ได้ก่อ มายังแมนสรวงที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์จากศาสตร์ศิลปะและความรื่นเริง พวกเขาก็ค้นพบว่า ความปรารถนาในการมี ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ ของพวกเขา ได้ทำให้ ‘ความจริง’ บางอย่างค่อยๆ ถูกคลี่เผยออกมา เพราะคนในนั้น ไม่ว่าชนชั้นไหน ก็ล้วนกระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อ ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ ด้วยกันทั้งนั้น
- อย่างไรก็ดี การดิ้นรนเพื่อตามหา ‘สิ่งใดก็ตามที่จะช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นได้’ ของเหล่าตัวละครต่างชนชั้นในหนังไทยย้อนยุคอย่าง ‘แมนสรวง’ ก็ดูจะไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงของ ‘สยามใหม่’ แห่งนี้กระทำกันในแต่ละวันที่ผันผ่านไปเลย
- แต่ต่อให้เรากระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อ ‘เลื่อนชั้น’ หรือก่อร่าง ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ จนเหนื่อยเจียนตาย แต่หากบริบทของสังคมแวดล้อมของ ‘เมืองฟ้าเมืองเทวดา’ ที่เราสังกัดอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร สุดท้าย หากเราไม่ถูกระบบสังคมอำนาจเช่นนี้คัดออกออกไป เราก็อาจต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งในระบบอำนาจนิยมดังกล่าวเสียเอง - ระบบที่ทุกคนต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า จนต้องเหยียบหลังต่อๆ กันไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
- ดังนั้น สิ่งที่เราอาจพอจะทำได้ในโลกที่ทุกคนแข่งขันกันกระเสือกกระสน จนกระทบกระทั่งไปมา -แบบที่หลายครั้งก็รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง- ก็คือ การตระหนักรู้ถึง ‘ตัวของเรา ใจของเรา’ ว่ามันกำลังเรียกร้องหาอะไรกันแน่ เหมือนที่ถึงจุดหนึ่ง ผู้ชมก็ได้ตระหนักว่า การกระเสือกกระสนของตัวละครหลักๆ ไม่ได้ช่วยทำให้พวกเขาได้ ‘มีชีวิตที่ดีขึ้น’ มากไปกว่าจะช่วยทำให้พวกเขาได้ ‘เข้าอกเข้าใจตัวเองมากขึ้น’
หมายเหตุ : บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนัง
ติดตามช่อง Youtube : Be On Cloud
เขม (รับบทโดย อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) เป็นเพียง ‘ไพร่’ นายรำจากคณะละครในเมืองแปดริ้ว ที่ถูกเข้าใจผิดคิดว่าได้ลงมือสังหารหลานชายของ พระยาบดีศร (ประดิษฐ ประสาททอง) ขุนนางหัวเก่าผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองสยาม ในค่ำคืนหนึ่งหลังสิ้นสุดการแสดงอันหมดจดงดงามของเขม จนเขากลายมาเป็นที่หมายปองของตัวผู้ตาย
แม้ว่าแท้ที่จริงแล้ว หลานของพระยาบดีศรจะถูกโจรชาวจีนลอบเข้ามาฆ่า โดยมีเขมเป็นพยานรู้เห็น แต่กลับไม่มีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ก็ตาม
เขมและเพื่อนไพร่ร่วมชะตากรรมอย่าง ว่าน (บาส-อัศวภัทร์ ผลพิบูลย์) จึงต้องถูกขุนนางผู้ใหญ่รายนี้บีบบังคับให้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในคดีนี้ โดยพวกเขาต้องเดินทางไปทำภารกิจเสี่ยงภัย ผ่านการแฝงตัวเข้าไปสืบราชการลับใน ‘แมนสรวง’ สถานเริงรมย์เร้นลับในกรุงรัตนโกสินทร์ช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีไว้สำหรับให้บริการผู้คนจากชนชั้นที่สูงส่งกว่าพวกเขา
เมื่อเขมกับว่าน ผู้พยายามกระเสือกกระสนหนีการต้องโทษที่พวกเขาไม่ได้ก่อ มายังแมนสรวงที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์จากศาสตร์ศิลปะและความรื่นเริง พวกเขาก็ค้นพบว่า ความปรารถนาในการมี ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ ของพวกเขา ได้ทำให้ ‘ความจริง’ บางอย่างค่อยๆ ถูกคลี่เผยออกมา
share
เนื่องด้วยสถานที่แห่งนี้อาจเป็นแหล่งรวมของ ‘ดีลลับ’ ที่อาจเป็นภัยร้ายแรงต่อแผ่นดินสยาม ทั้งการรวมตัวกันเพื่อเตรียมการก่อกบฏของกลุ่มโจรเชื้อสายจีน หรือกระทั่งการซ่องสุมอาวุธสงครามที่ถูกซื้อขายและส่งต่อมาจากชาวตะวันตกที่ใช้ภาษาวิลาศ หรือภาษาอังกฤษ ในการสื่อสาร
และเมื่อเขมกับว่าน ผู้พยายามกระเสือกกระสนหนีการต้องโทษที่พวกเขาไม่ได้ก่อ มายังแมนสรวงที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์จากศาสตร์ศิลปะและความรื่นเริง พวกเขาก็ค้นพบว่า ความปรารถนาในการมี ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ ของพวกเขา ได้ทำให้ ‘ความจริง’ บางอย่างค่อยๆ ถูกคลี่เผยออกมา
เพราะแม้คำว่า ‘แมนสรวง’ อันเป็นชื่อของหนังไทยจากค่าย Be On Cloud เรื่องนี้ จะหมายถึง ‘เมืองฟ้าเมืองเทวดา’ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในนั้น กลับมีแต่ยิ่งทำให้ทุกผู้ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวพัน -โดยเฉพาะสองหนุ่มสายสืบจำเป็นที่เพิ่งจะได้เข้าไปปลอมตัวทำงานในคณะละครรำของที่นั่น- ต้องอกสั่นขวัญแขวนกันไม่เว้นแต่ละวัน
นับจากคดีการตายของ ขุนสุทินบริรักษ์ (ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย) ข้าราชการชาวจีนที่ถูกพบเป็น ‘ศพ’ อยู่ภายนอกแมนสรวงอย่างเป็นปริศนา, การปรากฏตัวของบุคคลต่างชนชั้นที่ดูไม่น่าไว้เนื้อเชื่อใจ ทั้ง พระยาวิเชียรเดช (คานธี วสุวิชย์กิต) ขุนนางสยามหัวใหม่ที่เป็น ‘ผู้ต้องสงสัย’ ว่าอาจกำลังชักชวนชาวจีนก่อกบฏ และ ฉัตร (มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง) ไพร่มือตะโพนรูปงามของวงดนตรีประจำคณะละครในแมนสรวง
แม้คำว่า ‘แมนสรวง’ อันเป็นชื่อของหนังไทยจากค่าย Be On Cloud เรื่องนี้ จะหมายถึง ‘เมืองฟ้าเมืองเทวดา’ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในนั้น กลับมีแต่ยิ่งทำให้ทุกผู้ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวพัน ต้องอกสั่นขวัญแขวนกันไม่เว้นแต่ละวัน
share
ไปจนถึงการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำภายในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันของทั้ง เจ้าสัวเฉิง (ชาติชาย เกษนัส - หนึ่งในทีมผู้กำกับหนัง) เศรษฐีชาวจีนโพ้นทะเลเจ้าของแมนสรวง และ ฮ้ง (ต๋อง-ธนายุทธ ฐากูรอรรถยา) ลูกชายผู้สืบทอดกิจการ จนทำให้เครือญาติผู้คอยเป็น ‘มือขวา’ ของสองพ่อลูกอย่าง เตียง (สายฟ้า ตันธนา) ต้องขึ้นมาดูแลแมนสรวงแทน
เหล่านี้จึงยิ่งทำให้เขมและว่านต้องยิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น ระหว่างการค้นหาเอกสารการลักลอบซื้อขายอาวุธที่อาจถูกซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น ซึ่งจะสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในการเอาผิดคู่ค้าทั้งสองฝ่ายในฐานกบฏได้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ ‘ผลัดแผ่นดิน’ อันคาดเดาได้ยากในอนาคต
เขมต้องจำใจใช้ทักษะและรูปลักษณ์ในการเป็น ‘นายรำรูปทอง’ ของตน -ที่เคยถูกใครหลายคนดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นพวกขายเรือนร่างเต้นกินรำกินไปวันๆ- เข้าหาคนใหญ่คนโต หรือแม้แต่สร้างความไว้วางใจให้แก่ผู้คนหลากหลายภายในแมนสรวง เพื่อสืบสาวเอาความจริงให้ได้โดยเร็ว เพราะหากภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว เขาก็อาจต้องถูกพระยาบดีศรจับตัวกลับไปรับโทษ และไม่สามารถ ‘เลื่อนชั้น’ จากไพร่แล้วกลายเป็น ‘ท่านขุน’ ได้ตามที่ตกปากรับคำกันไว้ได้
ขณะที่ว่านผู้รู้ประสีประสาน้อยกว่าเขม แถมยังมีปมฝังใจจากการที่น้องสาวถูกโจรชาวจีนฆ่าข่มขืนจนบ้านแตกสาแหรกขาด ก็ต้องพยายาม ‘ดึงสติ’ ให้ตัวเองสามารถช่วยเขมตามหาเอกสารลับมาให้ได้ เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากการถูกลงทัณฑ์เช่นกัน - ซึ่งหลายครั้ง ความกลัวฝังใจเกี่ยวกับชาวจีน และความตายอันน่าหวาดหวั่น ก็ทำให้เขาผลีผลามกระทำการหลายอย่างลงไปโดยไม่ทันคิด ซึ่งได้ส่งผลเลวร้ายทั้งกับตัวเขาและ ‘เพื่อนรัก’ อย่างเขมในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่เขมกับว่านเท่านั้นที่ต้องพยายามกระเสือกกระสนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพราะแม้แต่ตัวละครที่ดูไม่น่าไว้วางใจสำหรับผู้ชมในช่วงครึ่งค่อนแรกของหนัง อย่างฉัตร และฮ้ง ที่อยู่กันคนละชนชั้น ก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ซึ่งล้วนมาจากความรักที่พวกเขามีต่อ ‘ครอบครัว’ ของตนไม่ต่างกัน
เนื่องจากอันที่จริง ฝ่ายแรกเป็นบุตรชายของขุนสุทินบริรักษ์ ที่ลอบเข้ามาแมนสรวงเพื่อสืบเรื่องการตาย และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาเกียรติของผู้เป็นพ่อ -ที่ในเอกสารลับระบุเอาไว้ว่าเป็น ‘ผู้ซื้ออาวุธ’ จากพวกวิลาศมาก่อกบฏ- และวงศ์ตระกูล -ที่อาจถูกลงโทษให้ตายตกตามกันไปอีกหลายชั่วโคตร- เอาไว้ ก่อนจะพบความจริงว่า ที่พ่อต้องฆ่าตัวตายไปเพื่อปกปิดที่ซ่อนของเอกสารลับ ก็เพราะพ่อดันหลวมตัวเข้าไปพัวพันกับดีลลับแสนอันตรายตั้งแต่แรก จนทำให้ตัวเองต้องกลายมาเป็น ‘แพะ’
ไม่ใช่แค่เขมกับว่านเท่านั้นที่ต้องพยายามกระเสือกกระสนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า เพราะแม้แต่ตัวละครที่ดูไม่น่าไว้วางใจสำหรับผู้ชมในช่วงครึ่งค่อนแรกของหนัง อย่างฉัตร และฮ้ง ที่อยู่กันคนละชนชั้น ก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ซึ่งล้วนมาจากความรักที่พวกเขามีต่อ ‘ครอบครัว’ ของตนไม่ต่างกัน
ส่วนฝ่ายหลัง ก็พยายามทำทุกอย่างไปเพียงแค่อยากรักษากิจการที่เปี่ยมไปด้วยความหมายของพ่อเอาไว้ โดยไม่ได้รู้เห็นถึงดีลลับอันเลวร้ายที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างยาวนานในแมนสรวง ก่อนที่จะต้องยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ว่าแม้แต่ใน ‘บ้าน’ ของตน ก็ยังมีคนที่สามารถทรยศและฆ่าคนใน ‘ครอบครัว’ ได้ลงคอ โดยเฉพาะเตียง ญาติผู้พี่ของเขาที่เจ้าสัวเฉิงรักเสมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ทำให้ฮ้งลุกขึ้นมาชำระสะสางปัญหาครั้งนี้ ผ่านแผน ‘แกล้งตาย’ ที่มีการซ้อนแผนของเตียงเข้าไปอีกขั้นหนึ่ง
นอกจากนี้ ตัวละครแวดล้อมที่มีอิทธิพลมากพอตัวอยู่แล้ว แต่ก็ยังขวนขวายสั่งสมอำนาจให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ก็ถือเป็นกลุ่มอีกชนชั้นหนึ่งที่ยังคงดิ้นรนเพื่อ ‘ลุแก่อำนาจ’ ต่อไปไม่จบสิ้น ทั้งพระยาบดีศร, ขุนสุทินบริรักษ์ หรือแม้แต่เตียง ที่สามารถเปลี่ยนขั้วไปมาเมื่อจำเป็น หากมันสามารถช่วยให้พวกเขาควบคุมบงการชีวิตคนอื่นให้ตกอยู่ใต้อาณัติได้
และเมื่อ ‘แมนสรวง’ หมายถึง ‘เมืองฟ้าเมืองเทวดา’ ดังที่กล่าวไปในข้างต้น เราจึงอาจหยิบมันมาทาบทับเข้ากับสถานที่นอกจออย่าง ‘กรุงเทพฯ’ ที่ผู้ชมหลายคนอาศัยอยู่ ณ เวลานี้ได้ด้วยเช่นกัน
เพราะการดิ้นรนเพื่อตามหา ‘สิ่งใดก็ตามที่จะช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นได้’ ของเหล่าตัวละครต่างชนชั้นในหนังไทยย้อนยุคอย่าง ‘แมนสรวง’ ก็ดูจะไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงของ ‘สยามใหม่’ แห่งนี้กระทำกันในแต่ละวันที่ผันผ่านไปเลย
ทั้งคนชนชั้นล่างที่ส่วนหนึ่งต้องลาจากต่างจังหวัดเข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองกรุง และยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเอง (และครอบครัว) มีเงินพอกินพอใช้, คนชนชั้นกลางที่ถึงจะมีกินมีใช้อยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังอยากไขว่คว้าตำแหน่งแห่งที่ในมิติต่างๆ ของสังคมต่อไป และคนชนชั้นสูงที่แม้จะมีเงินทองและที่ทางในสังคมเหนือกว่าชนชั้นไหนๆ แต่ก็ยังคงหาช่องทางในการกอบโกยผลประโยชน์ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
โดยที่หลงลืมไปว่า สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความเข้าอกเข้าใจที่เรามีต่อตัวเอง และคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกัน
การดิ้นรนเพื่อตามหา ‘สิ่งใดก็ตามที่จะช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นได้’ ของเหล่าตัวละครต่างชนชั้นในหนังไทยย้อนยุคอย่าง ‘แมนสรวง’ ดูจะไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงของ ‘สยามใหม่’ แห่งนี้กระทำกันในแต่ละวันที่ผันผ่านไปเลย โดยที่หลงลืมไปว่า สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือความเข้าอกเข้าใจที่เรามีต่อตัวเอง และคนอื่นๆ ในสังคมเดียวกัน
เพราะต่อให้เรากระเสือกกระสนดิ้นรนเพื่อ ‘เลื่อนชั้น’ หรือก่อร่าง ‘ชีวิตที่ดีกว่า’ จนเหนื่อยเจียนตาย แต่หากบริบทของสังคมแวดล้อมของ ‘เมืองฟ้าเมืองเทวดา’ ที่เราสังกัดอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร สุดท้าย หากเราไม่ถูกระบบสังคมอำนาจเช่นนี้คัดออกออกไป เราก็อาจต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งในระบบอำนาจนิยมดังกล่าวเสียเอง - ระบบที่ทุกคนต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า จนต้องเหยียบหลังต่อๆ กันไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ดังนั้น สิ่งที่เราอาจพอจะทำได้ในโลกที่ทุกคนแข่งขันกันกระเสือกกระสน จนกระทบกระทั่งไปมา -แบบที่หลายครั้งก็รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง- ก็คือ การตระหนักรู้ถึง ‘ตัวของเรา ใจของเรา’ ว่ามันกำลังเรียกร้องหาอะไรกันแน่
เหมือนที่ถึงจุดหนึ่ง ผู้ชมก็ได้ตระหนักว่า การกระเสือกกระสนของเขม, ว่าน, ฉัตร และฮ้ง ไม่ได้ช่วยทำให้พวกเขาได้ ‘มีชีวิตที่ดีขึ้น’ มากไปกว่าจะช่วยทำให้พวกเขาได้ ‘เข้าอกเข้าใจตัวเองมากขึ้น’
ทั้งเขมที่ค้นพบหลังจากทุกอย่างคลี่คลาย ว่าเขาไม่ได้ต้องการยศฐาบรรดาศักดิ์ หรือเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นไพร่ มากไปกว่าชีวิตการเป็น ‘พ่อครู’ สอนรำให้แก่คนรุ่นหลัง โดยไม่มีใครมาเหยียดหยามได้อีก
ว่านที่ค้นพบ (หรืออาจไม่ทันได้พบ) ก่อนโดนเขมปลิดชีพอย่างจำใจ ว่าเขาไม่ได้ต้องการแก้แค้นชาวจีนมากไปกว่าการมีชีวิตที่สนุกสนานกับเพื่อนรัก โดยเลิกเอาอคติของตนไปเหมารวมใครคนอื่นด้วยความเกลียดชัง
ฉัตรที่ค้นพบหลังจากได้รับการทาบทามให้เป็นคุณหลวง ว่าเขาอยากเป็นข้าราชการที่เหมือน ‘เรือขวางน้ำเชี่ยว’ มากกว่าจะโอนอ่อนผ่อนตามเหมือน ‘ไผ่ลู่ลม’ โดยรู้จักใช้อำนาจที่ได้มาให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก
และฮ้งที่ค้นพบหลังจากต้องสูญเสียผู้คนในแมนสรวงไป ว่าเขาแค่ต้องเป็นคนที่เข้มแข็งมากพอจะเป็นหลักพึ่งพิงของคนที่ยังเหลือรอดอยู่ได้ โดยคัดง้างกับระบบสังคมที่คอยกดทับและแบ่งแยกผู้คนอยู่ไปด้วย
ถึงจะพยายามกระเสือกกระสนจนถึงขั้น ‘เจียนตาย’ ทั้งทางกายและทางใจแบบที่ผ่านมา แต่ถ้าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ทางที่เราต้องการจริงๆ ตั้งแต่แรก หากเป็นเพราะระบบสังคมที่บีบบังคับให้ไขว่คว้าไป – ถึงที่สุดแล้ว เราก็จะต้องวนกลับมาสำรวจ ‘ตัวของเรา ใจของเรา’ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้อีกครั้งอยู่ดี
แล้วพวกเขาก็คงได้ค้นพบอีกด้วยว่า ถึงจะพยายามกระเสือกกระสนจนถึงขั้น ‘เจียนตาย’ ทั้งทางกายและทางใจแบบที่ผ่านมา แต่ถ้าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ทางที่เราต้องการจริงๆ ตั้งแต่แรก หากเป็นเพราะระบบสังคมที่บีบบังคับให้ไขว่คว้าไป
– ถึงที่สุดแล้ว เราก็จะต้องวนกลับมาสำรวจ ‘ตัวของเรา ใจของเรา’ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้อีกครั้งอยู่ดี
เพราะ ‘แมนสรวง’ อาจไม่ได้หมายถึงตำแหน่งแห่งที่ทางสังคม ซึ่งจะนำพาเราไปอยู่ยังจุดที่สูงส่งหรือเหนือกว่าใคร แต่เป็นความรู้สึก ‘พอใจ’ ที่ตัวเรามีต่อชีวิตตามวิถีทางของเราเองต่างหาก
ขอบคุณแหล่งที่มา : https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103651#aWQ9NjMxZjY3ZDEyMDIyNTcwMDEyZjI0MTk4JnBvcz0zJnJ1bGU9Mg==
ความคิดเห็น