5 คนไทยวอนช่วยชีวิตด่วน โดนทอดทิ้งเขตสู้รบ นายจ้างหนี-ต้องหลบซ่อน
คนไทยในอิสราเอลแห่ขอกลับบ้านพุ่งใกล้ทะลุ 8 พันคน คาดยอดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นายกฯชี้การช่วยตัวประกันมีทิศทางบวก พร้อมเร่งเจรจาเช่าแอร์บัส A380 จากสายการบินเอมิเรตส์-กาตาร์ ล่าสุดมีคนไทยได้กลับมาเฉลี่ย 200 กว่าคนต่อเที่ยวบิน ขณะเดียวกันแรงงานไทยในพื้นที่กาซาชี้การสู้รบหนักขึ้นทุกวัน ทำให้ออกมาไม่ได้ รวมถึงถูกนายจ้างกดขี่ วอนทางการเข้าช่วยเหลือด่วน ด้านโฆษกฮามาสอ้างมีตัวประกันชาวต่างชาติในมือ 250 คน ย้ำดูแลดีเหมือนเป็นแขก คาดหวังแลกกับนักโทษปาเลสไตน์ในเรือนจำกว่า 6 พันคน
แรงงานไทยในอิสราเอลที่หนีภัยการสู้รบและรอการเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยทางการจัดเครื่องบินทั้งจากกองทัพอากาศและเครื่องบินพาณิชย์ไปรับอย่างต่อเนื่องทุกวัน
ยอดขอกลับบ้าน 7,936 คน
โดยกระทรวงการต่างประเทศแจ้งสถานะคนไทยที่ได้รับผลกระทบในอิสราเอล ณ วันที่ 17 ต.ค. ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตยังเท่าเดิมคือ 29 ราย ได้รับบาดเจ็บ 16 ราย ผู้ถูกจับกุมเป็นตัวประกัน 17 ราย ขณะที่สถานะการลงทะเบียนขอกลับไทย ณ วันที่ 17 ต.ค. มีคนไทยประสงค์ขออพยพกลับประเทศไทย รวมจำนวน 7,936 คน และไม่ขอกลับ 101 คน นอกจากนี้มีรายงานอีกว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค. สำนักงานประชากรและตรวจคนเข้าเมืองของอิสราเอลได้มีหนังสือเวียนแจ้งว่า แรงงานไทยในภาคเกษตรกรรมของอิสราเอลที่มีอายุงานไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน และเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงสงครามครั้งนี้สามารถเดินทางกลับไปทำงานในอิสราเอลหลังจากนี้ได้โดยไม่ต้องขอ re-entry visa โดยขอให้แรงงานติดต่อบริษัทจัดหางานของตนก่อนเดินทางกลับเข้าไปในอิสราเอลอีกครั้ง
ช่วยตัวประกันมีทิศทางที่ดี
ต่อมานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทางการไทยสามารถจัดเครื่องบินได้เพิ่มมากขึ้น นำคนไทยกลับมาได้เพิ่มอีก 600 คน แต่ยังไม่หยุดแค่นี้ เราพยายามหาทางนำคนไทยกลับมาให้มากและเร็วกว่านี้ ปัจจุบันมีคนไทยแสดงเจตจำนงที่จะเดินทางกลับเกือบ 8,000 คน ที่เราสบายใจขึ้นคือไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเพิ่มเติม และไทยยังทำงานร่วมกับหลายๆประเทศในการเจรจากับฮามาสเพื่อให้ปล่อยตัวคนไทย รายละเอียดคงบอกไม่ได้ บอกได้แค่เพียงว่าเป็นทิศทางบวก และอีกเรื่องหนึ่งก่อนหน้านี้ตนได้ระบุว่าทางการอิสราเอลระบุว่าในพื้นที่อันตรายสามารถนำคนไทยออกมาได้แล้ว 99 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนตัวเข้าใจว่ายังมีคนติดค้างอยู่บ้าง เราจึงมีความพยายามที่จะกดดันและทำงานร่วมกันเพื่อนำคนออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เร่งเจรจาเช่าแอร์บัส A380
นายเศรษฐากล่าวอีกว่า มี 2 เรื่องที่ยังมีคนและสังคมเกิดข้อกังขาถึงเครื่องบินที่บินไปรับ ยืนยันว่าเราได้นำอาหาร น้ำดื่ม หรือแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปด้วย และอีกเรื่องคือบางสายการบินที่เราต้องบินอ้อมเพราะว่าเครื่องบินที่เราเช่าเหมาลำไม่มีสนธิสัญญาการบินข้ามน่านฟ้าระหว่างประเทศ ไม่ได้เกี่ยวว่าประเทศนั้นๆไม่ต้อนรับ จะใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือ 2 ชั่วโมง หรือมากกว่า ไม่ได้ทำให้ เป็นประเด็น เพียงแต่เราต้องการเครื่องบินมากกว่า ส่วนการเช่าเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่นั่งจำนวนมากเพื่อไปรับคนไทยนั้นมีความคืบหน้าโดยมีการติดต่อไป 2 สายการบิน คือสายการบินเอมิเรตส์กับกาตาร์แอร์ไลน์ที่เรามีความสัมพันธ์กันอยู่ ตอนนี้มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ต้องไปดูโลจิสติกส์ในด้านอื่นด้วย วันนี้เริ่มต้นการเจรจาแล้ว
คนไทยกลับมาต่อเนื่อง
สำหรับการอพยพคนไทยในอิสราเอลกลับมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงคืนวันที่ 16 ต่อวันที่ 17 ต.ค. มีเที่ยวบินพาคนไทยกลับมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 16 ต.ค. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามในประเทศอิสราเอล ชุดที่ 5 จำนวน 244 คน ในจำนวนนี้มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์จำนวน 30 คน เดินทางด้วยสายการบิน EL AL Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY085 กลับมาถึง โดยมี น.ส.บุญยวีร์ ไขว้พันธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน นำคณะเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องและญาติๆมารอต้อนรับ และทันทีที่พบหน้าครอบครัวต่างพากันโผกอดด้วยความดีใจ โดยนายสุทธิพร บุราคร ได้เข้าโผกอดมารดา จากนั้นได้เข้าไปหอมแก้มลูกสาวคนเล็กก่อนหันไปหยอกล้อกับลูกสาวอีก 2 คนที่มารอรับและดีใจที่ได้เจอหน้าพ่ออีกครั้ง เช่นเดียวกับนายศักดิ์สิทธิ์ วิจิตรธงชัย ชาวโคราช ได้เข้ามากอดมารดาทันทีที่พบหน้าก่อนก้มลงกราบเท้าด้วยความคิดถึง
ทยอยถึงไทยอีก 480 คน
นอกจากนี้ ในวันที่ 17 ต.ค. เวลา 19.05 น.มีเที่ยวบินพิเศษของสายการบิน EL AL Israel Airlines เที่ยวบินที่ LY 085 นำผู้ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในอิสราเอลกลับมาอีก 200 คน และมาอีกกลุ่มใหญ่ในวันที่ 18 ต.ค. เวลา 03.30 น.ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 8951 จำนวน 280 คน ซึ่งบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สนับสนุนภารกิจรัฐบาล นำเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777- 200ER บินไปยังกรุงเทลอาวีฟ และจะให้การสนับสนุนเที่ยวบิน เพื่ออพยพคนไทยในอิสราเอลที่มีความประสงค์จะกลับประเทศไทยจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้เผยแพร่หมายเลขติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ สำหรับการขอความช่วยเหลือในช่วงสงคราม ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 05-3245-2826, 05-5271-2201, 05-4636-8150 ขณะที่หมายเลขโทรศัพท์ศูนย์พักพิงชั่วคราวเพื่อคนไทยที่ต้องการกลับประเทศ ที่โรงแรม Intercontinental Tel Aviv คือ 05-0443-8094 และ 05-3557-4115
2 กัปตันการบินไทยร่วมภารกิจ
ด้าน พล.อ.ต.บุญเลิศ อันดารา โฆษกกองทัพอากาศ (ทอ.) กล่าวถึงการเรียกกำลังพลสำรอง ที่เป็นอดีตนักบินของ ทอ.มาปฏิบัติภารกิจช่วยอพยพคนไทยจากอิสราเอลว่า พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.ลงนามคำสั่งเรียกกำลังพลสำรอง ประเภทนายทหารสัญญาบัตร เหล่านักบิน เพื่อปฏิบัติราชการในการอพยพคนไทยในอิสราเอล ตั้งแต่วันที่ 16-31 ต.ค.2566 จำนวน 2 คน ได้แก่ น.ต.ชนัน เชื้อเย็น และ น.ต.เจริญชัย กังสมุทร กัปตันเครื่องบินแอร์บัส A330/350 ทั้งสองคนมีประสบการณ์บินเครื่องบินแอร์บัส A-340 มาก่อน ขณะนี้นักบินทั้งสองเข้ามารายงานตัวกับ ทอ. เรียบร้อยแล้ว การบินไปอิสราเอลแต่ละเที่ยวบินต้องใช้นักบินทั้งหมด 9 นาย แต่ ทอ.มีนักบินเครื่องบินแอร์บัส A-340 เพียง 17 นาย ไม่เพียงพอ ส่วนจะเรียกกำลังพลสำรองอดีตนักบิน ทอ.มาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ต้องดูสถานการณ์ก่อน โดยในวันที่ 18 ต.ค. เวลา 09.00 น. เครื่องบินแอร์บัส A-340 ทอ.จะบินไปรับคนไทยที่อิสราเอลอีกครั้ง
นำกลับมาแล้วราว 500 คน
ด้านกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจ ประการ รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการช่วยเหลือแรงงานไทยกลับจากอิสราเอลว่า ขณะนี้สถานทูตไทยในอิสราเอล พร้อมด้วยกระทรวงแรงงาน ได้รับแรงงานไทยมาอยู่ที่กรุงเทลอาวีฟ วันหนึ่งไม่น้อยกว่า 2 ไฟลท์บิน รับแรงงานไทย 300-400 คน โดยนายกฯ ย้ำอยากให้นำแรงงานไทยที่ลงทะเบียนล่าสุดทั้งหมด 7,500 คน กลับมายังประเทศไทยให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน ต.ค. แต่จำนวนเครื่องบินที่จะไป มีเครื่องบินการบินไทย 1 ลำ กองทัพอากาศ 1 ลำ นกแอร์ 2 ลำ และแอร์เอเชีย 2 ลำ เชื่อว่าถึงแม้จะไม่หมดก็คงจะใกล้เคียง ขณะนี้นำผู้ใช้แรงงานไทยกลับประเทศได้แล้วประมาณ 500 คน
จ่อขอนานาชาติช่วยตัวประกัน
ส่วนการนำร่างแรงงานไทยที่เสียชีวิตกลับมานั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า อยู่ที่รัฐบาลอิสราเอล อยู่ระหว่างการพิสูจน์อัตลักษณ์ เมื่อเรียบร้อยน่าจะส่งกลับมา ขณะนี้เรามีไฟลท์บินมาเมืองไทยทุกวัน เชื่อว่าอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์น่าจะมีการลำเลียงศพกลับมาได้บ้าง และขอความกรุณาจากนายจ้างที่เป็นชาวอิสราเอล ไม่ควรที่จะให้คนงานต้องทำงานอยู่ใน
ภาวะที่มีความไม่สงบ นายกฯสั่งการไปแล้วจึงอยู่ที่เอกอัครราชทูตจะต้องประสานกับทางรัฐบาลอิสราเอล และนายจ้างของอิสราเอล ส่วนตัวประกันนั้น เท่าที่ทราบมี 18 คน และยังไม่มีข่าวคราว แต่เชื่อว่าจากการที่นายกฯเดินทางไปประเทศจีน คงมีการเจรจาผ่านอีกหลายๆประเทศ และนายกฯจะเดินทางต่อไปยังซาอุดีอาระเบีย คงจะมีการหารือกันในเรื่องของการช่วยเหลือตัวประกันผ่านประเทศที่ 3 ประเทศที่ 4 หรือประเทศที่ 5 แล้วแต่ว่าประเทศไหนที่คิดว่าจะมีโอกาสช่วยเราได้ นายกรัฐมนตรีจะหารือทั้งหมด
ไปใหม่ไม่ต้องขอวีซ่า re-entry
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล หารือกับทางการอิสราเอลถึงแนวทางการช่วยเหลือแรงงานไทยที่ยังไม่หมดสัญญาจ้างได้หนีภัยสงครามกลับมาให้กลับไปทำงานอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์สงบ และได้รับแจ้งจากสำนักงานบริหารแรงงานต่างชาติ (Foreign Workers Administration) ของอิสราเอลว่า ได้อนุญาตให้แรงงานต่างชาติในภาคเกษตรที่เดินทางออกจากอิสราเอลโดยไม่ได้ขอวีซ่า re-entry ในช่วงเหตุความสงบได้รับการผ่อนผันให้สามารถเดินทางกลับเข้าไปทำงานที่อิสราเอลได้ ผ่านกระบวนการพิเศษ โดยเบื้องต้นแรงงานที่ประสงค์เดินทางกลับไปทำงานสามารถแจ้งความประสงค์ผ่านทางบริษัทจัดหางาน 12 แห่งของอิสราเอล
ไม่รีบเผยชื่อผู้ตายหวั่นผิดพลาด
ส่วนกรณีที่ไม่มีการเปิดเผยรายชื่อชาวไทยที่เสียชีวิตนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการกำชับให้ระมัดระวังเรื่องการเปิดเผยชื่อชาวไทยที่เสียชีวิต เนื่องจากในสถานการณ์ที่มีการสู้รบและอพยพกัน อาจมีความผิดพลาดได้ เนื่องจากต้องมีการพิสูจน์อัตลักษณ์ให้แน่ชัดว่าผู้ตายเป็นใคร จึงจะยืนยันได้ นอกจากนี้เกรงเกิดปัญหาแจ้งรายชื่อผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของครอบครัวได้ อาทิ บริษัทแรงงานได้รับแจ้งข้อมูลคลาดเคลื่อน และแจ้งให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ แต่มาตรวจสอบภายหลังไม่ตรงกัน ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จึงต้องตรวจสอบให้แน่ชัด เพื่อรายงานให้ทางกระทรวงการต่างประเทศทราบ และแจ้งให้ทางครอบครัวทราบต่อไป ส่วนการนำศพผู้เสียชีวิตกลับประเทศนั้น ทางนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด หากมีความพร้อมสามารถนำกลับมาได้
ตรวจสุขภาพแล้ว 539 คน
วันเดียวกัน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลด้านสุขภาพคนไทยที่อพยพกลับมาจากประเทศอิสราเอล ว่า นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน ด้านการแพทย์และสาธารณสุข รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค. มีแรงงานไทยเดินทางกลับจากอิสราเอล จำนวน 2 ชุด รวม 378 คน จากการตรวจคัดกรองทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเบื้องต้น พบปัญหาสุข ภาพทางกาย 12 คน ได้แก่ ล้มแขนหัก (ผ่าตัดแล้ว) 1 คน แผลไฟลวก (ใกล้หาย) 1 คน มีอาการทางเดินหายใจ 10 คน ส่วนด้านสุขภาพจิต พบมีความเครียดระดับสูง 25 คน ระดับปานกลาง 8 คน ทีมแพทย์ได้ประสานสถานบริการในพื้นที่ติดตามดูแลต่อเนื่องหลังกลับภูมิลำเนา ทั้งนี้ ภาพรวมกระทรวงสาธารณสุขตรวจคัดกรองสุขภาพแรงงานไทยที่เดินทางกลับมารวมทั้งหมด 539 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 10 คน อาการทางเดินหายใจ 11 คน และมีปัญหาด้านสุขภาพจิต 53 คน อาทิ เครียด นอนไม่หลับ ตื่นตัวมากเกินไป
6 อาชีวะฝึกงานขอกลับไทย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะโฆษก ศธ. เปิดเผยว่า มีนักศึกษาอาชีวะที่ไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพตามโครงการความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอนทวิภาคีระดับ ปวส. สาขาพืชศาสตร์ ไทย-อิสราเอล ประจำปี 2566 รุ่นที่ 24 จำนวน 78 คน ณ ศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการเกษตร ในเขตอาราวา และเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ตนได้โทรศัพท์ผ่านระบบวิดีโอคอลพูดคุยกับนักเรียนอาชีวะทุกคน ได้รับคำตอบว่ายังปลอดภัยและมีขวัญกำลังใจดี นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งสถานที่ที่นักศึกษาฝึกประสบการณ์ห่างจากพื้นที่การสู้รบ ทั้งนี้ ศธ.ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้กรอกข้อมูลความประสงค์หากอยากจะขอกลับประเทศไทยด้วย มีนักศึกษาอาชีวะจากโครงการดังกล่าวแจ้งขอกลับประเทศไทย 6 ราย ส่วนที่เหลือขออยู่ฝึกประสบการณ์ต่อ เนื่องจากยังมั่นใจในความปลอดภัย
ขอกลับไทยหลังถูกนายจ้างทิ้ง
สำหรับบรรยากาศตามครอบครัวแรงงานไทยที่ยังรอคอยการกลับมาของหัวหน้าครอบครัวและลูกหลานนั้น ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายกิติภูมิชัย วงศ์สนิท นายอำเภอห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ ว่า ในพื้นที่มีแรงงานที่ไปทำงานในอิสราเอล 10 คน เดินทางกลับมาก่อนเกิดการสู้รบ 1 คน หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบต้องการกลับ 1 คน ส่วนอีก 8 คนไม่ประสงค์เดินทางกลับ เนื่องจากที่พักและที่ทำงานอยู่ในโซนที่ปลอดภัย โดยแรงงานที่จะเดินทางกลับคือนายวิไล เทพเมืองไพร ชาว ต.พิมูล จากการพูดคุยกับญาติของนายวิไล เจ้าตัวระบุว่า ตอนนี้อยู่ในเขตอันตรายใกล้การสู้รบ อาศัยที่บ้านนายจ้าง พร้อมเพื่อนคนงานไทยในจังหวัดต่างๆ รวม 5 คน นายจ้างได้หนีออกจากพื้นที่แล้ว ถือว่าเป็นแรงงานถูกทิ้ง และกำลังประสบปัญหาอาหารขาดแคลนและความปลอดภัย ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้
เมียใจสลายสามีโดนระเบิดตาย
ส่วนที่ บ.โนนเชือก ต.ส้มป่อย อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา นางสาวอรอาภา โล่ห์วีระ รอง ผวจ.ชัยภูมิ พร้อมคณะ เดินทางไปพบนางอ้อยใจ ชัยศรี ภรรยานายอานันท์ เพชรแก้ว อายุ 39 ปี เพื่อแจ้งข่าวผลการยืนยันอัตลักษณ์จากโครงกระดูกที่พบในแคมป์คนงาน 5 โครงกระดูกที่ถูกระเบิดถล่มเพลิงไหม้ 1 ในนั้นคือนายอานันท์ ซึ่งนางอ้อยใจเมื่อรู้เช่นนั้นถึงกับยืนนิ่งก่อนจะร่ำไห้สะอึกสะอื้น และกล่าวว่ายังไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง เจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่มาต่างเข้ามาปลอบใจและให้กำลังใจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้อธิบายถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆที่พึงได้รับ ซึ่งจังหวัดจัดให้เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ามาดูแล รวมถึงจะนำร่างผู้เสียชีวิตกลับมาโดยเร็ว ทั้งนี้ นางอ้อยใจกล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับข่าวที่ได้รับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หวังว่าจะไม่ใช่สามีของตนที่เสียชีวิต สามีเป็นเสาหลักของครอบครัว มีลูกสาวอีกหนึ่งคน และพ่อแม่ที่ยังต้องดูแล สิ่งที่ตนและสามีวาดหวังไว้คือเมื่ออยู่อิสราเอลครบ 5 ปี แล้วกลับมาอยู่กันพร้อมหน้า จะสร้างบ้านหลังใหม่ ที่ขณะนี้รื้อบ้านหลังเก่าไปแล้ว มีการปรับที่ทางไว้สำหรับสร้างบ้านหลังใหม่ในเร็วๆนี้ด้วย
แม่เฮลั่นหลังลูกชายติดต่อกลับมา
ต่างจากครอบครัวนางศิริพร แสงบุญ อายุ 47 ปี ชาวบ้านดอนแดงหมู่ 9 ต.คำเตย อ.เมืองนครพนม ที่คิดว่าลูกชายเสียชีวิตจากการบุกของกองกำลังฮามาส เพราะขาดการติดต่อไปกว่าสัปดาห์ แต่ล่าสุดกลับได้รับข่าวดี เมื่อนายทีปกร แสงบุญ หรือออย อายุ 27 ปี ลูกชาย ได้วิดีโอคอลกลับมาหา ยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ โดยทหารอิสราเอลเข้าไปช่วยเหลือขณะหลบหนีในป่ากับเพื่อนรวม 10 คน และขาดการติดต่อเนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย และยืนยันประสานสถานทูต แจ้งความประสงค์ขอกลับไทย ในวันที่ 18 ต.ค.นี้ ทำให้แม่และญาติพี่น้องถึงกับเฮลั่นบ้าน โดยนางศิริพรกล่าวว่า ลูกชายไปทำงานเมื่อปี 2565 ได้ประมาณปีเดียวจากสัญญา 5 ปี กู้ยืมเงินเป็นค่าใช้จ่ายเดินทางเกือบ 2 แสนบาท โชคดีหมดหนี้แล้ว แต่ลูกชายหวังที่จะเก็บเงินมาสร้างฐานะครอบครัว สร้างบ้านเป็นของขวัญให้แม่ สุดท้ายต้องยอมทิ้งความฝัน เพื่อกลับมาหาครอบครัว ส่วนตนไม่หวังที่จะร่ำรวย เพียงอยากให้ลูกกลับมาปลอดภัย ก่อนนี้ติดต่อลูกไม่ได้ ทำทุกอย่างตามความเชื่อทั้งขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าที่เทวดาฟ้าดินให้คุ้มครองให้ปลอดภัย
ปลอดภัยแต่ต้องหาเงินใช้หนี้
ส่วนที่ จ.กาฬสินธุ์ ที่บ้านนายสุเทพ วิชาสาร อายุ 26 ปี ชาวบ้านม่วงหวาน ต.หนองผือ อ.เขาวง และนายวิทยา เวียนเวช อายุ 34 ปี ชาวบ้านภูแล่นช้าง ต.ภูแล่นช้าง อ.นาคู ซึ่งเดินทางกลับถึงบ้านเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางความดีใจของญาติพี่น้อง จัดพิธีสู่ขวัญบายศรีผูกข้อมือรับขวัญตามธรรมเนียมอีสาน และร่วมรับประทานอาหาร บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเดินทางไปให้กำลังใจและสอบถามข้อมูล เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้ นายวิทยากล่าวว่า เมื่อกลับมาถึงบ้านตนกราบแทบเท้าพ่อแม่ ด้วยความดีใจที่สุดเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ที่ได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่เมื่อเหตุการณ์สู้รบสงบลง อยากเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลอีก เพราะได้รายได้สูง หากทำงานในประเทศไทยรายได้ต่ำและคงจะไม่มีเงินใช้หนี้
ทยอยส่งแรงงานกลับภูมิลำเนา
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานตลอดวัน เจ้าหน้าที่แรงงานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดรถพาแรงงานไทยในอิสราเอลที่ทยอยเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พาไปส่งยังภูมิลำเนาต่างๆ โดยที่ศาลาพักประตูทางออกศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา อ.เมืองนครราชสีมา 5 แรงงานที่เดินทางกลับมาจากอิสราเอล และแรงงานจังหวัดนครราชสีมา จัดรถตู้ไปรับมาจากสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ได้เดินทางเข้ากราบอนุสาวรีย์ ร.5 และอนุสาวรีย์ย่าโม ก่อนเข้ารับการคัดกรองสุขภาพและจัดทำประวัติ จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอเมือง และเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมฯจังหวัด รวมถึงมีการมอบเงินเยียวยา โดยมีพ่อแม่ญาติๆ และภรรยามารอรับเพื่อเดินทางกลับภูมิลำเนา เช่นเดียวกับที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแพร่ เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 17 ต.ค. นางอัลชลี ปะดุกา แรงงานจังหวัดแพร่ พร้อมเจ้าหน้าที่และญาติของแรงงาน 3 คน ได้แก่ นายธีรยุทธ แซ่โซ้ง นายมังกร แซ่ย่าง และนายใช่ แซ่ท้าว เดินทางมารอต้อนรับทั้งสามอย่างอบอุ่น ก่อนพาเดินทางกลับภูมิลำเนาที่บ้านแม่แรม หมู่ 12 ตำบลเตาปูน อ.สอง
รอยืนยันการตายอีก 1
ส่วนที่ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นางนภวรรณ โกละกะ แรงงานจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นางวิภารัตน์ ภักดี นักวิชาการแรงงานชำนาญการ เปิดเผยว่า มีแรงงานไทยในเชียงใหม่เดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล จำนวน 414 คน ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวของแรงงานไทย 6 ครอบครัว ในพื้นที่ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง โดยมี 1 ครอบครัว ขอให้ตรวจสอบข้อมูลว่าสามีอาจเสียชีวิต นอกจากนี้ยังได้เยี่ยมให้กำลังใจครอบครัวญาติแรงงานในตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริมด้วย
หนุ่มสกลวอนพาออกจากที่เสี่ยง
นอกจากนี้ นายสรชวน สุระพิชัย อายุ 43 ปี ชาว อ.หนองหาร จ.สกลนคร ได้อัดคลิปเหตุการณ์การสู้รบในอิสราเอลและให้สัมภาษณ์ผ่านวิดีโอคอลว่า ทำงานเกี่ยวกับโรงเพาะดอกไม้ ผักต่างๆ ห่างจากกาซาประมาณ 9 กม. มีแรงงานไทยจากภาคเหนือและอีสานทำงานด้วยกันอยู่ 14 คน เดินทางกลับไป 2 คน ตอนนี้ยังค้างอยู่อีก 12 คน สถานการณ์อิสราเอลเลวร้ายขึ้นทุกวัน แต่ถูกนายจ้างกดขี่ สั่งให้ทำงานอยู่ตลอด บางวันมีการสู้รบกันหนัก วิ่งหนีเข้าบังเกอร์เกือบไม่ทัน บางรายทนไม่ไหว เก็บกระเป๋า ยอมทิ้งค่าจ้าง นั่งแท็กซี่เดินทางไปยังสถานทูตเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง จึงอยากวิงวอนถึงรัฐบาลช่วยเข้ามาดูแลคนไทยที่ยังอยู่และเสี่ยงตายในอิสราเอลด้วย
ยอดตัวประกันพุ่ง 250 คน
สำหรับความคืบหน้าสถานการณ์ในอิสราเอล ที่ทั่วโลกต่างจับตาอย่างใกล้ชิดต่อท่าทีของกองทัพอิสราเอลเรื่องการส่งหน่วยรบบุกเข้าไปในฉนวนกาซา ทำลายฐานที่มั่นของกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์ กลุ่มฮามาสนั้น เมื่อวันที่ 17 ต.ค. นายอาบู โอเบดา โฆษกฝ่ายปฏิบัติของกลุ่มฮามาส ออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่ามีตัวประกันถูกจับกุมอยู่ในฉนวนกาซาประมาณ 200-250 คน ในจำนวนนี้ 200 คนอยู่ภายใต้ความดูแลของกลุ่มฮามาสโดยตรง อีก 50 คน อยู่ในความดูแลของกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่น และถูกควบคุมตัวอยู่ใน “ที่อื่น” แต่ไม่ระบุรายละเอียดเพิ่มเติม
ดูแลตัวประกันประหนึ่งแขก
นายโอเบดายังชี้แจงว่า สำหรับตัวประกันชาวต่างชาติเราให้การดูแลเหมือนเป็นแขกของเรา กลุ่มฮามาสขอรับประกันว่าจะให้ความคุ้มครอง และจะปล่อยตัวต่อเมื่อสถานการณ์ทางภาคพื้นดินเอื้ออำนวย ส่วนนายคาเหล็ด มาชาอาล อดีตแกนนำฝ่ายการเมืองกลุ่มฮามาส เปิดเผยว่า จะใช้ตัวประกัน ซึ่งรวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอิสราเอลแลกตัวกับนักโทษปาเลสไตน์ในเรือนจำอิสราเอลกว่า 6,000 คน พร้อมกล่าวจุดยืนว่าชาวปาเลสไตน์จะไม่อพยพออกจากฉนวนกาซา เพราะการหลั่งไหลของผู้คนจำนวนมากจะสร้างปัญหาด้านความมั่นคงแก่รัฐบาลอียิปต์และจอร์แดน ทั้งกล่าวขอบคุณกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนที่ลงมือกับอิสราเอล
โชว์คลิปตัวประกันสาวยิว
นอกจากนี้ กลุ่มฮามาสยังปล่อยคลิปวิดีโอผ่านโซเชียลมีเดียเปิดเผยหน้าตาของตัวประกันเป็นครั้งแรก จากการตรวจสอบพบว่าคือ น.ส.มายา เชม ชาวอิสราเอลวัย 21 ปี โดยคลิปดังกล่าว น.ส.เชมได้กล่าวว่า ถูกจับอยู่ในฉนวนกาซา ได้รับบาดเจ็บหนักที่มือ แต่ได้รับการผ่าตัดรักษาที่โรงพยาบาล ผู้จับกุมให้การดูแล ให้ยา ตอนนี้ปลอดภัย อยากกลับบ้านไปหาครอบครัวให้เร็วที่สุด กรุณาช่วยพาหนูออกไปจากที่นี่ด้วย
ผู้นำมะกันเยือนอิสราเอล
วันเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดเดินทางเยือนนครเทลอาวีฟของอิสราเอลในวันที่ 18 ต.ค.เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลอิสราเอลอย่างหนักแน่น และรับฟังข้อมูลของ กองทัพอิสราเอล ก่อนเดินทางต่อไปยังจอร์แดนหารือกับกษัตริย์อับดุลเลาะห์ที่ 2 แห่งจอร์แดน รวมถึงนายมาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ และนายอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ประธานาธิบดีอียิปต์
ชายตูนิเซียยิงสวีเดนตาย 2
ทั้งนี้ ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ที่ถูกนำไปโยงกับปมศาสนาและอุดมการณ์ยังทำให้สถานการณ์ในยุโรปน่าวิตกกังวลมากขึ้น หลังจากเมื่อวันที่ 14 ต.ค. รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศยกระดับการเตือนภัยก่อการร้ายระดับสูงสุด เมื่อเกิดเหตุชาวมุสลิมใช้มีดแทงครูโรงเรียนมัธยมเสียชีวิต 1 ศพ บาดเจ็บ 2 คน ในเมืองอาร์ราส ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ตามด้วยเหตุผู้ต้องสงสัยข่มขู่วางระเบิดพิพิธภัณฑ์ชื่อดัง “ลูฟวร์” ในกรุงปารีส แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เกิดเหตุระทึกขวัญในกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม เมื่อนายอับเดซาเลม อัลกิวลานี ชาวตูนิเซีย วัย 45 ปี ที่อาศัยอยู่ในเบลเยียมอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2562 ใช้ปืนไรเฟิลกราดยิงชาวสวีเดนที่เดินทางมาชมการแข่งขันฟุตบอลรอบคัดเลือก “ยูโร 2024” ระหว่างทีมชาติสวีเดน-เบลเยียม ในกรุงบรัสเซลส์ เสียชีวิต 2 ศพ ก่อนโพสต์วิดีโอลงโซเชียลว่า ต้องการล้างแค้นให้พี่น้องมุสลิมและมีอุดมการณ์สนับสนุนกองกำลังรัฐอิสลามหรือไอเอส เมื่อคืนวันที่ 16 ต.ค. จากนั้นในวันที่ 17 ต.ค. จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขณะนั่งอยู่ในร้านคาเฟ่ เมืองสกาบีก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงบรัสเซลส์ และผู้ต้องสงสัยมีอาการหัวใจวายระหว่างถูกจับ เจ้าหน้าที่ต้องปฐมพยาบาลยื้อชีวิตและนำตัวส่งโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม นางอันเนอลิส แวร์ลินเดน รมว.มหาดไทยเบลเยียม ชี้แจงในเวลาต่อมาว่านายอับเดซาเลม อัล กิวลานี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว
ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/
ความคิดเห็น