Without Justice, There can be no love เดือนแห่งความรัก ความยุติธรรม และเหตุผลที่ต้อง ‘นิรโทษกรรมประชาชน’

เดือนกุมภาพันธ์ขึ้นชื่อว่าเป็นเดือนแห่งความรัก มักกระตุ้นเตือนให้เรานึกถึงความสัมพันธ์ และห้วงรักอันหวานชื่น แต่ปี 2024 นี้ต่างออกไปเพียงเล็กน้อยและมหาศาลในคราวเดียว เพราะภาคประชาชน และนักกิจกรรมหลายกลุ่ม กำลังเดินหน้ากระตุ้นเตือนเราถึงความรักและความยุติธรรม ผ่านแคมเปญ ‘นิรโทษกรรมประชาชน’
ทำไมต้องนิรโทษกรรมประชาชน -- คำตอบของคำถามอาจไม่หวานชื่นเหมือนวรรณกรรมโรแมนติก แต่การเดินทางของมันก็เต็มไปด้วยเรื่องราว ผู้คน หัวใจ และโยงใยของตัวละครทางสังคมจำนวนมาก จนกลายเรื่องราวที่ร้องหาและควรค่าแก่การรับฟัง
ไทยรัฐพลัสจะเล่าให้คุณฟัง เรื่องมันมีอยู่ว่า…
เรื่องของ ‘เรา’ เริ่มต้นขึ้นหลังรัฐประหาร
หลายคนอาจรู้สึกเหมือนนิทานเรื่องเก่า กับความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่นำมาซึ่งเฉดสีทางการเมือง และรอยแตกแยกในความสัมพันธ์ของรัฐและประชาชน
กาลครั้งหนึ่งในยุคของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร มีการชุมนุมขับไล่อดีตนายกฯ คนนี้ในช่วงปี 2547-2548 จนนำมาสู่การรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 และหลังจากการรัฐประหารครั้งนั้น ประเทศไทยก็เริ่มสะสมความทรงจำที่เต็มไปด้วยบาดแผล
เหตุการณ์ทางการเมืองยังวุ่นวายเรื่อยมา ผ่านเลือกตั้งที่ถูกล้ม พรรคการเมืองถูกยุบ การชุมนุมที่ยังเกิดขึ้นไม่เว้นปี และเมื่อกลไกทางการเมืองขณะนั้นไม่อาจสะสางความขัดแย้ง เหตุการณ์ที่หลายคนไม่มีทางลืมจึงเกิดขึ้นในปี 2553 ประชาชนคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงถูกปราบปรามอย่างรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 ราย และบาดเจ็บกว่า 2,000 ราย
หลังจากเหตุการณ์นั้น แม้จะมีคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ที่ทำงานขาหนึ่งเพื่อหาทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางการเมือง แต่อีกหนึ่งสิ่งที่พ่วงมาพร้อมกันคือจำนวนของผู้ต้องหาคดีทางการเมือง กับคำถามที่ยังค้างคามาจนถึงปัจจุบันว่า
รัฐจะรับผิดรับชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
ในช่วงปี 2556 หลังเหตุการณ์ผ่านไปไม่กี่ปี คำว่า ‘นิรโทษกรรม’ ถูกยกขึ้นมาพูดถึง และกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคม เมื่อรัฐบาลในยุคของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามชงร่างกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสภา แต่หัวใจหลักของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวดันมีผลนิรโทษกรรมครอบคลุมหลายฝ่าย จนได้ชื่อเล่นว่า ‘นิรโทษกรรมเหมาเข่ง’ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่ไม่ใช่การนิรโทษกรรมที่ทำไปเพื่อประชาชน เพราะครอบคลุมไปถึงบุคคลที่มีส่วนในการปราบปรามประชาชนด้วย
และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้ ยังถูกครหาว่า ร่างขึ้นมาเพื่อช่วยให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับบ้านโดยไม่มีคดีติดตัว
สุดท้ายแล้วร่างกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในปี 2556 ก็ไม่เกิดขึ้น ประเทศไทยเดินทางต่อพร้อมบาดแผลอันค้างคา จนมาถึงช่วงที่สถานการณ์ผู้ต้องหาคดีทางการเมืองเข้มข้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือช่วงหลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
การรัฐประหารครั้งนั้นมาพร้อม ‘อาวุธ’ สำคัญที่ชื่อว่า มาตรา 44 ภายใต้รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการแก่คณะรัฐประหาร อำนวยความสะดวกในการกดปราบประชาชน โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับพลเรือนในศาลทหารกว่า 2,400 ราย
แม้หลังจากนั้นประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในปี 2562 สร้างความหวังแก่ประชาชนว่าเราจะถูกปลดปล่อยจากรัฐบาลทหาร แต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กลับกลายเป็นช่องทางในการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดแรกซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี จนที่สุดแล้ว ประเทศไทยก็ยังตกอยู่ใต้ร่มเงาลายพราง ในยุคของนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ความขัดแย้งและกระแสความไม่พอใจก็แพร่สะพัด จนนำมาสู่การชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชนที่มีเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้าร่วมจำนวนมาก และถือกำเนิดกลุ่มเคลื่อนไหวและกลุ่มกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ ขึ้น บรรยากาศการแสดงออกทางการเมืองขณะนั้นถือว่าเข้มข้น และเปลี่ยนเพดานฟ้าของประเทศไทย โดยเฉพาะข้อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศดังกล่าวก็มาพร้อมเงื่อนไขก้อนใหญ่ นั่นคือสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายใต้ข้อกล่าวอ้างเรื่องการควบคุมโรค จึงมีการสั่งห้ามการรวมตัวกัน และเป็นการห้ามชุมนุมทางการเมืองไปโดยปริยาย
นับแต่นั้นมา ประชาชนจำนวนมากก็ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาที่แตกต่างกัน ฐานความผิดที่มีประชาชนถูกดำเนินคดีมากที่สุดคือการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และนอกจากนั้นยังมีฐานความผิด มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมืองและข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
จากการรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน หลังการรัฐประหาร 2557 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองกว่า 1,800 ราย
เขาจะจัดการด้วยกฎหมาย ‘ทุกฉบับ’
ที่เล่านิทานเรื่องเก่ามายืดยาว ก็เพราะท่ามกลางเรื่องทั้งหมดระหว่างเรา หลายคนมองหาทางคลี่คลาย ฝันถึงสังคมที่เดินต่อไปได้โดยไม่มีความบาดหมางอันเรื้อรัง นำมาซึ่งคำที่ถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรอบหลายปี คือคำว่า ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’
แต่เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร จะเริ่มใหม่ไปพร้อมกันได้อย่างไร หากผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นและทำกิจกรรมด้วยสิทธิเสรีภาพที่ตนมี ยังคงมีโทษทัณฑ์ติดตัว และนี่คือเหตุผลของการมีสิ่งที่เรียกว่า ‘นิรโทษกรรม’
โดยเนื้อตัวของมันแล้ว คำว่า ‘นิรโทษกรรม’ หมายถึงการลบล้างการกระทำความผิดที่กระทำไปแล้ว หรือยกเว้นความผิดโดยมีกฎหมายรับรอง เมื่อนิรโทษกรรมแล้วการกระทำนั้นจึงไม่ถือเป็นความผิด และผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมก็จะไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำผิดอีกต่อไป
หลายคนอาจตั้งคำถามว่า แล้วทำไมเราต้องลบล้างความผิดให้คนที่กระทำผิดด้วย
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะการใช้เสรีภาพการแสดงออกหรือการใช้เสรีภาพการชุมนุมถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ที่ไม่ควรเป็นความผิดต่อกฎหมายใดตั้งแต่แรก
พูดอย่างเรียบง่ายที่สุด นิรโทษกรรมจะยุติการแปะป้ายว่าการแสดงออกทางการเมืองเป็นความผิดนั่นเอง
นอกจากนี้ เรายังไม่อาจมองข้ามการที่รัฐใช้อำนาจผ่านกฎหมายต่างๆ อย่างไม่ตรงไปตรงมาในยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่น การใช้มาตรการควบคุมโรคโควิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ข้อหาอั้งยี่หรือซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา, ข้อหาตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก หรือข้อหาตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ ไม่เว้นแม้แต่กฎหมายอาญามาตรา 112
กฎหมายหลายฉบับถูกนำมาใช้กับประชาชนที่ออกมาทำกิจกรรมทางการเมือง แม้ตัวบทกฎหมายเองจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง จนทำให้เกิดการตั้งคำถามว่านี่คือความพยายามปิดกั้นการแสดงออกของประชาชนหรือไม่
อีกทั้งในช่วงปี 2563 ที่การชุมนุมของประชาชนลุกโชน พลเอกประยุทธ์ยังเคยออกแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี โดยเตือนประชาชนให้ทราบว่ารัฐบาลจำเป็นต้องใช้กฎหมาย ‘ทุกฉบับ’ กับผู้ชุมนุม และเมื่อถูกนักข่าวสอบถามว่ากฎหมายเหล่านั้นจะรวมถึงมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ก็ได้ให้คำตอบไว้ว่า
“ทำไม ก็เป็นกฎหมายทุกฉบับ สื่อเข้าใจคำว่ากฎหมายทุกฉบับหรือไม่ เข้าใจภาษาไทยหรือไม่ แปลภาษาไทยกันสิ คำว่ากฎหมายทุกฉบับ”
Without Justice, There can be no love
จริงๆ แล้วนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศไทย ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไทยเคยออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติและรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมเหตุการณ์ทางการเมืองแล้วอย่างน้อย 23 ครั้ง
ทว่า การนิรโทษกรรมที่ผ่านมากลับเป็นการนิรโทษกรรมที่ตอบสนองผู้มีอำนาจ อำนวยความสะดวกให้ผู้ก่ออาชญากรรมแห่งรัฐอย่างคณะรัฐประหารถึง 11 ครั้ง ดังที่เราจะเห็นว่าการนิรโทษกรรมแก่คณะรัฐประหารสองครั้งล่าสุด (รัฐประหาร 2549 และ 2557) ได้ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายระดับรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น อีกเงื่อนไขสำคัญที่เราต้องแน่ใจเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมก็คือ การนิรโทษกรรมนั้นเกิดขึ้นด้วยหัวจิตหัวใจของการก้าวข้ามความขัดแย้ง ซึ่งไม่ใช่ –และไม่ใกล้เคียง– กับการลืมความสูญเสียจากความขัดแย้ง เช่น การนิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่รัฐที่สลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง หรือกระทำเกินกว่าเหตุ หรือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้มีอำนาจเท่านั้น
ในรอบปีที่ผ่านมา ‘นิรโทษกรรม’ ยังเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง 2566 ทั้งการที่มันถูกบรรจุอยู่ในนโยบายชุดแรกของพรรคก้าวไกล (พร้อมกับนโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 และอื่นๆ) หรือการที่มันกลายเป็นเนื้อหาส่วนที่ ‘หายไป’ ในเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาลร่วม
ภายหลังเมื่อก้าวไกลจะจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ และพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลแทน เป็นที่รับรู้ร่วมกันว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวโร้มไม่แตะต้องมาตรา 112 และผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 เพราะกฎหมายมาตรานี้เป็นเงื่อนไขสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
ย้อนกลับไปในรัฐบาลชุดก่อน เราก็ยังเห็นการกล่าวถึงคดีทางการเมืองจากพรรคเพื่อไทยอยู่บ้าง เช่น ประกาศพรรคเพื่อไทยที่ลงนามโดย ชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ พรรค เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ที่เขียนเอาไว้ว่า
“การแก้ไขกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้นักโทษทางความคิดได้รับการปล่อยตัว และไม่ให้เกิดนักโทษทางความคิดเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมของประเทศไทย”
แม้เรื่องนิรโทษกรรมจะไม่ได้เงียบหาย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องที่ผูกพันกับการนิรโทษกรรมอย่างแยกไม่ขาด คือประเด็นอันอ่อนไหวอย่างกฎหมายอาญามาตรา 112 เพราะเป็นกฎหมายหนึ่งที่ประชาชนถูกดำเนินคดีหลังการรัฐประหาร 2557 ขณะเดียวกันประเด็นการ ‘แก้ไข’ กฎหมายดังกล่าวก็มักนำมาสู่ข้อถกเถียงเห็นต่าง เป็นชนวนเหตุที่ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ผ่านการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี โดยคำอภิปรายของ สว. จำนวนมากกล่าวต่อต้านนโยบายการแก้ไขกฎหมายนี้
ยิ่งจากสถานการณ์ล่าสุดที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ซึ่งหาเสียงแก้มาตรา 112 และเสนอแก้มาตรา 112 เท่ากับการล้มล้างการปกครองฯ ก็ยิ่งสะท้อนความอ่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นนี้ และทำให้เกิดคำถามตามมาว่าการนิรโทษกรรมที่หลายคนตั้งตารอให้เกิดขึ้น จะหมายรวมไปถึงประชาชนที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ในการเรียกร้องและแคมเปญ ‘นิรโทษกรรมประชาชน’ ของภาคประชาชน จะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน มีเนื้อหาที่ระบุชัดเจนว่าการนิรโทษกรรมต้องรวมคดีตามฐานความผิดในมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา โดยจะมีการเดินหน้ารวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ 10,000 รายชื่อ รวมถึงดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ภายในวันที่ 1-14 กุมภาพันธ์ 2567 นี้
ยังไม่มีใครรู้ว่า การนิรโทษกรรมซึ่งจะเกิดขึ้นในยุคที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร แต่เดือนนี้ เวลานี้ นิรโทษกรรมจะอยู่ในบทสนทนาของสังคม อย่างน้อยก็จากการเรียกร้องของภาคประชาชนที่เรากำลังจะได้เห็นในเดือนของความรัก
หรืออาจต้องเรียกว่าเดือนแห่งความรัก และความยุติธรรม
อ่านข้อมูลเปรียบเทียบ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 5 ฉบับ ของเพื่อไทย ก้าวไกล รวมไทยสร้างชาติ ครูไทยเพื่อประชาชน และภาคประชาชน ได้ใน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กับความแตกต่างเงื่อนไขการยกโทษ การยุติความขัดแย้ง 20 ปี จะจบหรือไม่?
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
ข่าวใหม่















ความคิดเห็น