ราชวงศ์เดนมาร์กผลัดใบสู่ยุคใหม่ "กษัตริย์นักอนุรักษ์" ผู้ทุ่มเทและติดดิน

เดนมาร์กถือเป็นราชวงศ์ท้ายๆของโลก ที่เพิ่งมีการผลัดใบเปลี่ยนผ่านจากผู้นำยุคเก่าสู่ผู้นำรุ่นใหม่ โดยหลังการสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการของ “สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่สองแห่งเดนมาร์ก” ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ “เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของเดนมาร์ก เริ่มต้นรัชสมัยแห่งความท้าทาย ที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกยุคดิสรัปชัน
เฉกเช่นเดียวกับ “กษัตริย์ชาร์ลส์ที่สามแห่งสหราชอาณาจักร” กษัตริย์องค์ใหม่ของเดนมาร์ก ทรงสนพระทัยอย่างยิ่งในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และปัญหาภาวะโลกร้อน ทรงเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศโลกของสหประชาชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยเดินสายขึ้นเวทีปราศรัยเรื่องวิกฤติโลกร้อน และให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อรณรงค์ให้ชาวโลกเกิดความตื่นตัวเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ

นักสังเกตการณ์ราชวงศ์ในเดนมาร์กชี้ว่า “เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” พระชนมพรรษา 55 พรรษา จะเป็นตัวแทนของสถาบันกษัตริย์ยุคใหม่ ซึ่งมีความติดดินและไม่ถือพระองค์ ทรงได้รับการชื่นชมและยกย่องที่เอาจริงเอาจังกับการอนุรักษ์ หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าจดจำคือ เมื่อ 2 ปีก่อน ระหว่างเสด็จร่วมโครงการอนุรักษ์ปลาทูน่าที่เมืองสคาเกน ทางตอนเหนือของเดนมาร์ก ทรงฉลองพระองค์ชุดดำน้ำลงพื้นที่เก็บข้อมูลปลาทูน่าด้วยพระองค์เอง โดยทุ่มเทเสด็จลงไปในทะเลและต้อนจับปลาทูน่าเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยของสถาบันทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเดนมาร์ก เพื่อสำรวจเส้นทางการใช้ชีวิตของปลาทูน่าในน่านน้ำเดนมาร์ก ส่งผลให้ชาวโลกแห่ยกย่องว่าทรงมีความทุ่มเทต่อการอนุรักษ์สัตว์อย่างจริงจัง ชนิดที่ว่าในโลกนี้คงไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดจะทรงงานหนักเพื่อการอนุรักษ์เท่าเจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก

“เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” โปรดการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ ทรงสำเร็จการฝึกหลักสูตรของหน่วยมนุษย์กบแห่งเดนมาร์ก (เทียบเท่ากับหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือหน่วยซีล) ซึ่งมีระยะเวลาการฝึกประมาณ 9 เดือน และทรงเข้าประจำการเป็นทหารเรือในหน่วยดังกล่าว โดยระหว่างการฝึก ทรงได้รับฉายามนุษย์กบว่า “พินโก”

“เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตของ “สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่สองแห่งเดนมาร์ก” และทรงมีพระอนุชา 1 องค์ คือ “เจ้าชายโจอาคิม” (ทั้งคู่มีเรื่องระหองระแหงกันจนเป็นข่าวเสมอ) พระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเดน มาร์ก ตั้งแต่พระชนม์ 4 ชันษา และเพื่อเตรียมให้พร้อมสำหรับการสืบทอดราชบัลลังก์ ทรงเข้าศึกษาต่อปริญญาตรี ด้านรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออร์ฮูส และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นทรงเป็นผู้แทนของเดนมาร์กปฏิบัติงานในองค์การสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก เป็นเวลา 3 เดือน ก่อนจะทรงเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านรัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออร์ฮูส โดยทรงทำวิทยานิพนธ์เรื่องการวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศของรัฐบอลติก ซึ่งเคยเสด็จเยือนหลายครั้ง หลังสำเร็จการศึกษาทรงรับตำแหน่งเลขาธิการประจำสถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเวลา 1 ปี ภายหลังยังได้เข้าฝึกการเป็นผู้นำ ณ สถาบันป้องกันประเทศแห่งเดนมาร์ก และทรงเป็นหนึ่งในคณะทหารของกองบัญชาการการป้องกันราชอาณาจักรเดนมาร์ก ตลอดจนองค์ปาฐกถาระดับอาวุโสขององค์การแผนยุทธศาสตร์ในสถาบันดังกล่าว ขาดไม่ได้สำหรับองค์รัชทายาทคือ การเข้าฝึกหลักสูตรทหารครบทั้งสามเหล่าทัพ ซึ่งรวมถึงการฝึกในหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางเรือชั้นยอดของประเทศ “โฟรเมนด์สคอร์ปเซต” ทำให้ได้ค้นพบกิจกรรมโปรด เช่น การดำน้ำใต้ท้องทะเลลึก

“เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” ยังสนพระทัยด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์, ปัญหาภาวะโลกร้อน และความยั่งยืน นอกจากจะเดินสายเข้าร่วมงานเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนทั่วโลก ยังทรงเป็นตัวแทนของประเทศในการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทางพลังงานของเดนมาร์ก ทรงร่วมเขียนหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และความท้าทายของวิกฤติโลกร้อน รวมถึงให้การสนับสนุนโครงการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์มากมาย โดยผ่านมูลนิธิ “Kronprins Frederiks Fond” ตลอดจนสนับสนุนโครงการด้านการศึกษา, กีฬา และสังคม

ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ “เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” ถือเป็นหนุ่มรูปงามเจ้าเสน่ห์ ทรงเป็นนักกีฬาตัวยง เคยเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนใหญ่ๆมาแล้วทั่วโลก ตั้งแต่โคเปนเฮเกน, นิวยอร์ก ไปจนถึงปารีส โดยทำสถิติการวิ่งมาราธอน 42 กิโลเมตร ด้วยเวลา 3 ชั่วโมง 22 นาที 50 วินาที ในสนามโคเปนเฮเกน มาราธอน นอกจากนี้ยังเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรกของโลกที่ลงแข่งขันในโปรแกรมไตรกีฬาใหญ่ “Ironman Copenhagen” ทำสถิติ 10 : 45 : 32 อีกหนึ่งกีฬาโปรดตลอดกาลยังรวมถึงการเล่นสกี และการแข่งเรือใบ ทรงเป็นนักเดินเรือมือฉมัง และเคยนำทีมคว้าถ้วยในการแข่งขันใหญ่ๆมาแล้วหลายรายการ อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ทรงพลาดการเป็นตัวแทนทีมชาติลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิกส์ เพราะติดภารกิจมากมายในฐานะมกุฎราชกุมาร

เรียกว่าสมัยเป็นหนุ่มๆทรงแอ็กทีฟด้านกีฬามาก เคยนั่งเป็นคณะกรรมการโอลิมปิกสากลอยู่หลายปี ทรงริเริ่มจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนการกุศล “Royal Run” เมื่อปี 2018 เพื่อฉลองพระชนมายุครบ 50 พรรษา งานนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเกินคาดกว่า 70,000 คน จนกลายเป็นงานวิ่งมาราธอนการกุศลที่จัดต่อเนื่องทุกปีจนถึงปัจจุบัน
ด้านชีวิตส่วนตัว “เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” ทรงพบรักกับพระชายา “แมรี เอลิซาเบธ โดนัลด์สัน” ที่ปรึกษาการตลาดชาวออสเตรเลีย ระหว่างเสด็จร่วมงานโอลิมปิกฤดูร้อน 2000 ที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย โดยทั้งคู่รู้จักกันภายในบาร์แห่งหนึ่ง ฝ่ายหญิงยืนกรานไม่รู้มาก่อนว่าพระองค์คือเจ้าชาย ทั้งคู่สานรักกันแบบทางไกลอยู่หลายปี กระทั่งฝ่ายหญิงตัดสินใจย้ายไปอยู่เดนมาร์ก และได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสในปี 2004 โดยปัจจุบันทั้งคู่มีพระโอรสและพระธิดาด้วยกัน 4 พระองค์ คือ เจ้าชายคริสเตียน, เจ้าหญิงอิซาเบลลา, เจ้าชายวินเซนต์ และเจ้าหญิงโจเซฟิน

ทั้งนี้ ความป๊อปปูลาร์ของ “เจ้าหญิงแมรี” ว่าที่ราชินีจากออสเตรเลียพระองค์แรกของโลก มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ส่งเสริมสถานภาพของพระราชสวามี ทรงได้รับการโหวตมาอย่างต่อเนื่องให้เป็นเจ้าหญิงรุ่นใหม่ที่แต่งตัวดีมีรสนิยมมากที่สุด ด้วยภาพลักษณ์โก้หรู เรียบร้อย และอบอุ่น ที่สำคัญยังช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทรงฝึกภาษาเดนมาร์กจนเชี่ยวชาญ ไม่เคยมีข่าวเสียหาย และขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในพระราชวงศ์ที่ทรงงานหนักที่สุด ทำให้สามารถชนะใจประชาชนชาวเดนมาร์กได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ น่าเสียดายยิ่งที่จะไม่มีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแบบใหญ่โตหรูหราเฉกเช่นราชวงศ์โลกอื่นๆ แต่จะเป็นการประกาศตามธรรมเนียมภายในเท่านั้นถึงการก้าวขึ้นมาครองราชย์ของ “เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก” ส่วนหนึ่งก็เพื่อสะท้อนความพยายามไม่แสดงออกถึงความฟุ้งเฟ้อร่ำรวยของราชวงศ์เดนมาร์ก และทำให้ชาวโลกได้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์เดนมาร์กปรับตัวเข้ากับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง...สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงกำลังพัดแรงที่เดนมาร์ก!!
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
ข่าวใหม่















ความคิดเห็น