ประวัติศาสตร์ฝ่าด่านกู้เงิน ดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้าน จะผ่านหรือไม่
Summary
- ดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล มีข้อสรุปจากปากนายกรัฐมนตรีว่า มาจากการกู้ แต่ข้อสรุปนั้นก็ยังไม่ใช้ปลายทางของนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย เพราะการกู้ต้องผ่านข้อกฎหมาย ที่ว่าด้วยความจำเป็นเร่งด่วนและเป็นวิกฤติของประเทศ
- ความแตกต่างของการเสนอ ร่าง พ.ร.บ. และ พ.ร.ก. คือ ร่าง พ.ร.บ. จะต้องผ่านการพูดคุยกันในสภา และพิจารณาทั้ง สส. และ สว. ส่วน พ.ร.ก. นั้นรัฐบาลสามารถออกได้เองก่อน แล้วค่อยมาชี้แจงเหตุผลได้ ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลเลือกวิธีการเสนอเป็น ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาท
- หลังปี 2540 การกู้ในวงเงินเกิน 300,000 ล้านบาทเกิดขึ้น 9 ครั้งที่ มี 7 ครั้งที่ตราเป็น พ.ร.ก.กู้เงิน แล้วสามารถใช้ได้ ส่วนการเสนอเป็น พ.ร.บ. นั้นไม่เคยออกมาเป็นกฎหมายจริงๆ ได้เลย
ดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล มีข้อสรุปจากปากนายกรัฐมนตรีว่า มาจากการกู้ แต่ข้อสรุปนั้นก็ยังไม่ใช้ปลายทางของนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย
รัฐบาลพยายามผลักดันนโยบายนี้ให้เดินไปข้างหน้าให้ได้ โดยทำเป็น ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลให้เหตุผลว่า ที่ทำเป็น พ.ร.บ. เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เพราะกฎหมายในรูปแบบ ร่าง พ.ร.บ. จะต้องผ่านการพูดคุยกันในสภา และพิจารณาทั้ง สส. และ สว.
ทางเลือกนี้ถือว่าแฟร์ใช้ได้ เพราะดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แต่โครงการนี้ทำในนามรัฐบาล ซึ่งเป็นพรรคร่วม การได้ถกเถียงอภิปรายร่วมกัน ทั้งฝ่ายค้านและพรรคร่วมอื่นๆ รวมทั้งชั้น สว. หากผ่านด่านทั้งหมด การกู้มาเพื่อแจกแก้วิกฤติเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างก็จะมีความชอบธรรม
แต่การ ‘กล่าวอ้าง’ นั่นเอง ที่อาจเป็นจุดตาย เพราะการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน จะต้องผ่านด่านกฎหมายอย่างน้อย 2 มาตรา คือ
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 140
การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วน จะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 มาตรา 53
การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ และเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน และอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน
ข้อความสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลกู้ได้หรือไม่ นั่นคือ ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ และ ‘ปัญหาวิกฤติของประเทศ’ ว่ามีอยู่จริงและเป็นเหตุผลที่แข็งแรงแค่ไหน ดังนั้น ทุกวันนี้เราจึงเห็นฝ่ายรัฐบาลและผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยพยายามอธิบายเรื่อง ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ และ ‘ปัญหาวิกฤติของประเทศ’ ว่าเป็นสิ่งจับต้องได้ และเป็นเรื่องใหญ่ที่คนไทยกำลังเผชิญ
อีกฝ่ายหนึ่ง นำโดยพรรคก้าวไกล และนักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่ง พยายามส่งเสียงคัดค้าน ว่าดิจิทัลวอลเล็ตคือโครงการที่ได้ไม่คุ้มเสีย กระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว แล้วความชั่วคราวก็จะหายไป เมื่อเทียบกับการลดการผูกขาด ลดความเหลื่อมล้ำ น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีกว่าให้คนทั้งประเทศเป็นหนี้เพิ่ม หรือกระทั่งหลายคนพยายามแจกแจงกันว่า การนำเงิน 500,000 ล้าน ไปใช้ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่แจกจ่าย อาจจะสร้างประโยชน์ที่ยั่งยืนได้มากกว่า
และพรรคเพื่อไทยก็เลี่ยงคำวิจารณ์ไม่ได้ว่า มีความจำเป็นต้องสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์โดยเร็วที่สุด เพราะพรรคได้รับความเสียหายหนักจากการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ดิจิทัลวอลเล็ตจึงเป็นสิ่งที่พรรคเชื่อว่า จะสามารถปั๊มหัวใจเพื่อไทย สร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยได้อีกครั้ง
วิกฤติที่เหมือนจะไม่วิกฤติ
ไม่กี่วันก่อน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/66 ว่าขยายตัวเพียง 1.5 เปอร์เซ็นต์ จากที่คาดไว้ 2.0-2.2 เปอร์เซ็นต์ และยังเป็นการชะลอลงจาก 1.8 เปอร์เซ็นต์ จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากการส่งออกรวมที่หดตัวลดลงต่อเนื่องมา 4 ไตรมาส ตั้งปลายปี 2565
อย่างไรก็ตาม สภาพัฒน์ประมาณการ GDP ปี 2567 ไว้ที่ 2.7-3.7 เปอร์เซ็นต์ หรือมีค่ากลาง 3.2 เปอร์เซ็นต์ และตัวเลขของปีหน้านี้เป็นการคาดการณ์ที่ยังไม่ได้มีตัวแปรเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ในนั้น
ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า “เรายังไม่ได้คำนวณรวมไว้ในแง่ดิจิทัลวอลเล็ต เพราะต้องรอความชัดเจนเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะจะใช้เรื่องเงินอย่างเดียวเข้ามาคงไม่ได้ ยังมีเรื่องรูปแบบการใช้จ่าย เรื่องร้านค้า ที่ต้องดูประกอบด้วย และต้องรอคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ดังนั้นจึงยังไม่ได้ดำเนินการ”
ดังนั้น หากดูตัวเลข GDP ที่มักใช้พูดอ้างอิงเมื่อพูดถึงวิกฤติ เป็นไปตามคาด ก็เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวต่อเนื่องเรื่อยๆ หลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หมดไป
ภาพความฝันถึงอนาคตเศรษฐกิจดีๆ ของประเทศไทยยังถูกยืนยันโดยนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ในการเดินทางไปประชุม APEC ที่สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่ากำลังจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในไม่ช้า เช่น รัฐบาลกำลังเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย และอนุมัติวีซ่าฟรี ส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนความต่อเนื่องของบัตรเดินทางสำหรับนักธุรกิจเอเปก (APEC Business Travel Card)
นอกจากนี้ นายกฯ เศรษฐายังพบปะพูดคุยเจรจาเชิญชวนบริษัทเทคชั้นนำของโลกมาลงทุนในประเทศไทย เช่น Amazon, Google, Facebook, HP, Microsoft, Walmart, และ Western Digital เป็นต้น ซึ่งหากประเทศกำลังอยู่ในสภาพวิกฤติสิ้นหวัง ไม่เห็นอนาคต คงไม่มีใครมั่นใจที่จะมาตั้งฐานการผลิตหรือลงทุนใดๆ ร่วมกับไทย
สถิติกู้เงินด้วย ร่าง พ.ร.บ. ผ่าน 0 ครั้ง
ตั้งแต่หลังวิกฤติต้มยำกุ้งเป็นต้นมา รัฐบาลไทยกู้เงินในวงเงิน 300,000 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งหมด 9 ครั้ง ทั้งในรูปแบบร่าง พ.ร.บ. และ พ.ร.ก.
อย่างที่ข้อมูลบอกว่า ไว้กฎหมายระดับ พ.ร.บ. นั้นต้องผ่านการพิจารณาของสภา ซึ่งเป็นล่าสุด ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 500,000 บาท อยู่ในการตรวจสอบของกฤษฎีกา ก่อนส่งเข้าให้สภาพิจารณา หากผ่านทุกด่าน โครงการดิจิทัลวอลเล็ตก็อาจคลอดได้สำเร็จกลางปีหน้าเหมือนที่รัฐบาลคาดไว้
แต่ประวัติศาสตร์การกู้ของไทย ก็บอกอะไรที่น่ากังวลไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ที่ไม่เคยไปถึงปลายทาง เมื่อเทียบกับการออกเป็น พ.ร.ก. ซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารสามารถจัดการได้เองโดยไม่ต้องผ่านสภา มีรายละเอียดคือ
พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เป็นกฎหมายรูปแบบหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญวางไว้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หรือพูดง่ายๆ คือ รัฐบาลสามารถออกกฎหมายกู้ได้เองไปก่อน โดยยังไม่ต้องอธิบายความจำเป็นเร่งด่วนให้ใครฟัง
หลังปี 2540 การกู้ 9 ครั้งที่ผ่านมา มี 7 ครั้งที่ตราเป็น พ.ร.ก.กู้เงิน และทุกครั้งกู้ผ่านแบบไม่มีอุปสรรคขัดขวาง แต่ข้อสังเกตสำคัญคือ เกือบทุกครั้งมี ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ ที่ใครๆ ก็ปฏิเสธได้ยาก เช่น การฟื้นฟูสถาบันการเงินหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง หรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้เป็นอะไรที่แทบไม่มีใครเถียงว่าเป็นวิกฤติของประเทศ ซึ่งในการออก พ.ร.ก.กู้เงิน ก็มีการร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลก็พิจารณาว่า การ ออก พ.ร.ก.กู้เงินนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันด้วยสถานการณ์ขณะนั้นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ
เมื่อเทียบกับปัจจุบัน เรากำลังเห็นสถานการณ์ลักษณะนั้นหรือไม่ - การขอกู้ของรัฐบาลจึงตามมาด้วยสารพัดคำถาม
infographic: สิริลักษณ์ ตะเภาหิรัญ
ประวัติศาสตร์การกู้หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540
รัฐบาล ชวน หลีกภัย
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 7 พฤษภาคม 2541 ในยุคหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง
รัฐบาล ชวน หลีกภัย
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 วงเงินไม่เกิน 300,000 ล้านบาท ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 23 สิงหาคม 2541
รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ.2545 วงเงินไม่เกิน 780,000 ล้านบาท ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 25 มิถุนายน 2545
รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เสนอ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ..... วงเงินไม่เกิน 400,000 ล้านบาท โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 ในยุควิกฤติแฮมเบอร์เกอร์
อภิสิทธิ์ชี้แจงต่อ สว. เมื่อ 10 สิงหาคม ที่ พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านการพิจารณาของ สว. วาระแรกว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้วิธีนี้ เพราะบ้านเมืองกำลังประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ค้างการพิจารณาทิ้งไว้ โดยอภิสิทธิ์ให้เหตุผลว่า จะยกไปอภิปรายในที่ประชุมสภานิติบัญญัติสมัยถัดไป
รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 วงเงินไม่เกิน 400,000 ล้านบาท หรือ พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 13 พฤษภาคม 2552
วันที่ 23 มิถุนายน 2552 รัฐบาลต้องชี้แจงความจำเป็นในการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้านไปก่อนหน้า ต่อ สว. และผ่านความเห็นชอบ 69 ต่อ 48 เสียง โดยข้อท้วงติงขณะนั้นของ สว. กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยคือ กังวลการแบ่งเค้ก คอร์รัปชัน ซึ่งอภิสิทธิ์ชี้แจงยืนยันไม่มีการทุจริต เพราะเมื่อเกิดการทุจริตแล้วตรวจสอบไม่ทั่วถึง รัฐบาลจะไม่มีความเข้มแข็งและอยู่ไม่ได้อยู่
พ.ร.ก.ฉบับนี้ ได้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งศาลพิจารณาว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้าน ตราขึ้นเพื่อประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ตามมาตรา 184 วรรค 2 จึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
เมื่อเงินกู้ 400,000 ล้าน ผ่านด้วยการออกเป็น พ.ร.ก. วันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ที่ประชุม ครม. มีมติถอนร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 400,000 ล้านบาท ออกจากการพิจารณาของทั้ง สส. และ สว. โดยให้เหตุผลว่า ภาวะทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังของประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีขึ้น
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงินไม่เกิน 350,000 ล้านบาท ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 26 มกราคม 2555 ช่วงหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554
พ.ร.ก.ฉบับนี้ ได้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเช่นกัน และก็ไม่ผิดตามมาตรา 184 คือ มีความจำเป็นเร่งด่วน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เสนอ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... วงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท หรือการกู้เพื่อสร้างรถไฟความเร็วสูง โดยที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556
การกู้เงินก้อนนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ว่าเป็นการกู้ชาตินี้ต้องใช้หนี้ยันชาติหน้า และเป็นการส่งภาระให้ลูกหลาน รวมทั้งไม่เคยมีรัฐบาลใดในโลกกล้ากู้เยอะขนาดนี้
การอภิปรายในสภาช่วงปี 2556 กรณ์ จาติกวณิช สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ บอกให้รัฐบาลใช้งบประมาณปกติแทนการออก พ.ร.บ.กู้เงิน เพราะการกู้ 2 ล้านล้านเพื่อทำรถไฟความเร็วสูง และโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน จะทำให้ขาดทุนปีละหลักแสนล้านบาท
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เหตุผลค้านว่า รัฐบาลมองประโยชน์ของรถไฟความเร็วสูงคือการสร้างเศรษฐกิจ สร้างเมือง และสร้างรายได้
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้เหตุผลของโครงการรถไฟความเร็วสูงว่าใช้ขนส่งผลผลิตทางการเกษตร จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองปรามาสว่า กู้ 2 ล้านล้าน มาทำรถไฟขนผัก หลังจากนั้นได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจกันว่า การขนส่งผลิตผลทางการเกษตรด้วยรถไฟคือเร็วสูงสามารถทำได้รวดเร็ว ผลผลิตคงความสดใหม่ และเกิดความเสียหายน้อยกว่าวิธีอื่นๆ ซึ่งหลายประเทศใช้วิธีนี้เป็นปกติ
ขณะนั้น เพื่อไทยครองเสียงข้างมากในสภา จึงค่อนข้างมั่นใจว่า มีเสียงในฝั่ง สส. เพียงพอแน่นอน ด่านสำคัญจึงอยู่ที่การพิจารณาของ สว.
ในการอภิปรายชั้น สว. เมื่อ 7 ตุลาคม 2556 คำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา ในฐานะตัวแทน กมธ.การเงิน การคลัง ธนาคาร และสถาบันการเงิน วุฒิสภา มองว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 และให้คำแนะนำว่า รัฐบาลสามารถบริหารจัดการโครงการเหล่านี้ด้วยวิธีงบประมาณปกติได้
ในที่สุด ที่ประชุม สว. เสียงข้างมากก็ได้ลงมติเห็นชอบหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ และต่อมาก็ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาทั้งวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 ด้วยคะแนน 63 ต่อ 14
เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งนายกฯ ต้องระงับการทูลเกล้าฯ ร่างดังกล่าวไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย โดยคำร้องของประชาธิปัตย์นั้น ระบุว่าเป็นการกู้ในจำนวนมหาศาลที่สุด นอกจากนี้ยังไม่มีรายละเอียดของโครงการต่างๆ ที่ชัดเจน และฝ่ายค้านมีพยานหลักฐานว่าระหว่างการลงมติ ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน นี้ มี สส.พรรคเพื่อไทย เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน
โชคไม่ดี ปลายปี 2566 เกิดเหตุการณ์สำคัญ เนื่องจากการชุมนุมกดดันเรื่องการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ของกลุ่ม กปปส. ทำให้ยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภา 9 ธันวาคม 2556 และเป็นรัฐบาลรักษาการหลังจากนั้น
หลังจากไต่สวนคำร้อง ฟังปากคำจากพยานและผู้เชี่ยวชาญ วันที่ 12 มีนาคม 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท มีข้อความขัดหรือแย้งต่อมาตรา 169 วรรคหนึ่ง และมาตรา 170 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2550 เนื่องจากศาลฯเห็นว่า การออกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ‘มิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน’
วันนั้น มีประโยคสำคัญของ สุพจน์ ไข่มุกด์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถึงความไม่จำเป็นเร่งด่วนของโครงการสร้างพื้นฐานคมนาคมและรถไฟความเร็วสูงว่า “ให้ถนนลูกรังหมดจากประเทศไทยก่อน”
รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 19 เมษายน 2563
รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 25 พฤษภาคม 2564
ดังนั้น เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์การกู้ของรัฐบาลไทยที่ผ่านๆ มา จึงมีความเสี่ยงไม่น้อยว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต อาจไม่จบที่ พ.ร.บ.กู้เงิน 500,000 ล้านบาทก็ได้ ด้วยหลายเหตุผล คงต้องติดตามต่อไปว่า หากรัฐบาลมุ่งมั่นตั้งใจจะเข็นนโยบายนี้ให้ไปต่อได้ หากกู้ไม่ผ่าน จะหาแหล่งเงินจากไหน
RELATED
วิวาทะดิจิทัลวอลเล็ต กู้ 500,000 ล้าน แจก 10,000 บาท เศรษฐกิจไทยเลือดไหลใกล้ตาย ต้องปั๊มหัวใจด้วยเงินกู้จริงหรือ?
ดิจิทัลวอลเล็ต กับเงินกู้ 500,000 ล้าน ต้องเคลียร์เรื่อง ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ ให้ได้ ก่อนที่จะเข็นต่อไปไม่รอด
เช็กเงื่อนไข Digital Wallet ใช้สิทธิที่ไหน ซื้ออะไรได้บ้าง
ปัญหาดิจิทัลวอลเล็ต สะท้อนความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจ
ดิจิทัลวอลเล็ต กู้ 560,000 ล้านบาทมาแจก บนความเสี่ยงต่างๆ นานา
RECOMMENDED
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
ข่าวใหม่
ความคิดเห็น