แก๊งตุรกี ปล้นคริปโต 10 ล้าน หนีออกนอกประเทศแล้ว สงสัยเพื่อนสนิท พลิกทรยศ
แก๊งตุรกีบุกห้องคอนโด ปล้นคริปโต บังคับเพื่อนร่วมชาติโอนเงินสกุลบิทคอยน์เกือบ 10 ล้านบาท หลบหนีออกนอกประเทศแล้ว ผู้เสียหายสงสัยเป็นฝีมือเพื่อนสนิท พลิกทรยศ หลังไว้ใจมาก ให้คีย์การ์ดคอนโดและกุญแจห้องไว้เข้า-ออกพักอย่างตามสบาย กลับวางแผนบินข้ามประเทศ เรียกพรรคพวกมาก่อเหตุในประเทศไทย
ความคืบหน้ากรณี นายมาซิส เออร์โคล (MR. MASIS ERKOL) อายุ 36 ปี สัญชาติตุรกี เป็นนักธุรกิจเทรดหุ้น และมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตอล (คริปโต, บิตคอยน์) ถูกคนร้าย 3 คน จับใส่กุญแจมือไพล่หลังแล้วรัดซ้ำด้วยสายเคเบิลไทร์ (สายรัดสายไฟแบบหัวล็อค) อีกจำนวน 2 เส้น และที่ข้อเท้ายังถูกมัดด้วยสายไฟ แล้วบังคับเอาทรัพย์สินไปเป็นโน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง รวมถึงเงินคริปโตอีกจำนวนมาก หลังเกิดเหตุคนร้ายได้หลบหนีไป เหตุเกิดที่ห้องพักชั้น 5 คอนโดแห่งหนึ่งภายในซอยวัดบุณย์กัญจนาราม (วัดหนองพังแค) หมู่ 12 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณตี 1 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มคนร้ายได้มีการบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินสกุลบิทคอยน์ รวมมูลค่าเกือบ 10 ล้านบาท ตามที่มีข่าวเสนอแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา เน้นย้ำให้พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเร่งสอบปากคำนายมาซิส ผู้เสียหายในคดีนี้ พร้อมทั้งยังมีการเชิญนิติของทางคอนโดที่เกิดเหตุไปสอบปากคำ ในกรณีกลุ่มคนร้ายได้ใช้กุญแจไขประตูไปนั่งรอผู้เสียหายในห้องได้อย่างง่ายดาย
โดยล่าสุด นายมาซิส เออร์โคล ผู้เสียหาย เริ่มสงสัยเพื่อนสนิทชาวตุรกีด้วยกัน ซึ่งผู้เสียหายไว้ใจมาก ถึงขั้นให้คีย์การ์ดคอนโดและกุญแจห้องไว้เข้า-ออกพักได้อย่างตามสบาย แต่เพื่อนสนิทรายนี้เพิ่งจะเดินทางกลับประเทศตุรกีเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะมาถูกก่อเหตุดังกล่าว โดยเชื่อว่าเพื่อนสนิทรายนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน อีกทั้งเพื่อนสนิทรายนี้รู้ว่าตนเองทำธุรกิจเกี่ยวกับการเล่นหุ้นสกุลเงินดิจิตอล ขณะที่ดูภาพกล้องวงจรปิด ยิ่งทำให้มั่นใจว่า 1 ในผู้ก่อเหตุน่าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเพื่อนสนิทรายนี้ และเป็นการวางแผนบินข้ามประเทศมาก่อเหตุในประเทศไทย
ภาพกล้องวงจรปิด เวลา 12.09 น. 13 ม.ค. 67 จับภาพกลุ่มผู้ต้องสงสัยเป็นชายชาวตุรกีทั้ง 3 คน มีการนัดหมายมาพูดคุยกันที่ร้านกาแฟหน้าปากซอยที่เกิดเหตุ โดยมีการพูดคุยกันนานกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นกลุ่มคนร้ายเริ่มมีการเดินทยอยออกจากร้านกาแฟ มุ่งหน้าไปยังคอนโดของผู้เสียหาย โดยคนแรกสวมเสื้อคอกลมสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงขาสั้นสีน้ำตาล เดินออกไปช่วงเวลาประมาณ 14:34 น. คนที่ 2 สวมเสื้อคอกลมสีกรมท่า กางเกงขายาวสีครีม เดินตามมาช่วง 15.12 น. คนที่ 3 สวมเสื้อคอกลมสีดำ นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว เดินตามออกมาช่วงเวลา 15.28 น. ซึ่งแต่ละคนจะสวมใส่หมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า และพยายามเดินก้มหน้าขณะที่เดินผ่านกล้องวงจรปิดภายในซอยดังกล่าว
กล้องวงจรปิดในคอนโดที่เกิดเหตุ เวลา 15.54 น. จะเห็น 2 ใน 3 ผู้ต้องสงสัยขึ้นลิฟต์ที่บริเวณทางเดินชั้น 5 แล้วใช้มือเคาะประตูห้องของผู้เสียหาย ก่อนจะแกล้งทำทีเดินไปตามทางเดิน จากนั้นเหมือนจะมีชาวต่างชาติคาดว่าจะเป็นลูกบ้านของคอนโดดังกล่าวมายืนมอง จากนั้นกลุ่มผู้ต้องสงสัยก็เดินลงจากลิฟต์ไป จากนั้นทิ้งช่วงมาประมาณ 7 นาที เวลา 16.03 น. กลุ่มผู้ต้องสงสัยได้กลับขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะไขประตูเข้าไปในห้องของผู้เสียหาย ซึ่งจากนั้นไม่นาน ผู้ต้องหาคนที่ 3 ก็ตามขึ้นมาที่ห้อง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์จับผู้เสียหายใส่กุญแจมือ รัดเคเบิลไทร์ ใช้สายไฟมัดเท้า ใช้ที่ปิดตาปิดตา จับกดลงที่นอน แล้วบังคับให้โอนเงินคริปโตกว่า 10 ล้านบาท หลังจากมีการโอนเงินสำเร็จ กลุ่มผู้ก่อเหตุต่างพากันหลบหนีไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะพยายามกระเสือกกระสนลงมาบริเวณชั้นล่างแล้วขอความช่วยเหลือกับ รปภ. โดยเส้นทางหลบหนีพบว่า เวลา 22.30 น. 1 ในผู้ก่อเหตุ (เสื้อคอกลมสีดำนุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว) เดินมาขึ้นรถรับจ้างที่บริเวณปากซอย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากแนวทางการสืบสวน ยังพบว่ากลุ่มคนร้ายหลังก่อเหตุสำเร็จ ได้ไปรวมตัวกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนจอมเทียนสาย 2 ก่อนจะแยกย้ายกันหลบหนี โดย 1 ในผู้ก่อเหตุเดินทางออกจากประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TK59 เวลา 06.15 น. ส่วนผู้ก่อเหตุอีก 2 คนก็มีการยืนยันว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่ระบุเที่ยวบิน
ขณะที่รายชื่อผู้ก่อเหตุ ตำรวจยังไม่มีการออกมาเปิดเผย โดยเชื่อว่าอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานในการออกอนุมัติหมายจับ และประสานไปยังตำรวจสากลเพื่อออกหมายจับอินเตอร์โพลต่อไป
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
ความคิดเห็น