เศรษฐกิจไทย 2568 การเงิน-ส่งออกผันผวนหนัก เสี่ยงกับดักกำแพงภาษี นโยบายประชานิยมไม่ตอบโจทย์?
ผลกระทบ-แรงกระแทก "เศรษฐกิจไทย 2568" การเงิน-ส่งออกผันผวนหนัก ฝ่าด่านกับดักกำแพงภาษีมหาอำนาจ ท่ามกลางองคาพยพรัฐบาลที่ยังดูสับสน แนะสร้างเศรษฐกิจฐานราก มากกว่านโยบายประชานิยม
ตลอดปีงูใหญ่ 2567 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนไม่หยุดนิ่ง อันเป็นผลมาจากนโยบายระหว่างประเทศ สงคราม และความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งเหล่านั้นส่งผลให้ ‘ไทย’ หนึ่งในประชาคมโลกก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน สะท้อนผ่านภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายคนมองว่าฝืดเคือง อย่างไรก็ตาม ปี 2567 ที่ว่าหนักแล้ว แต่ปี 2568 เริ่มแว่ว ๆ กันมาว่า "จะหนักกว่าเดิม!"
วันนี้ ทีมข่าวฯ ไทยรัฐออนไลน์จึงได้ชวน 'รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์' อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ มาร่วมวิเคราะห์และพูดคุยถึงแนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจปี 2568 ที่อาจส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย เพื่อให้คุณผู้อ่านได้ทราบเบื้องต้น และเตรียมตัวรับมือกับพายุความผันผวนลูกต่อไปที่อาจจะเกิดขึ้น!
สงครามภาษี ผลกระทบ แรงกระแทก 'ทรัมป์ 2.0':
รศ.ดร.สมภพ กล่าวว่า ปีหน้า (2568) จะเป็นปีที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ เริ่มต้นที่ความเสี่ยงจากนอกประเทศ เป็นผลจาก นโยบายทรัมป์ 2.0 ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะ 'เศรษฐกิจระหว่างประเทศ' ที่จะเกิดขึ้นแน่นอน
"ทรัมป์จะทำสงครามภาษีสงครามการค้ากับประเทศต่าง ๆ ที่เกิดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย เราเกินดุลการค้ากับเขาปีหนึ่งอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านเหรียญ ถือว่าสูงมาก ไทยจึงกลายเป็นประเทศหนึ่งที่ตกเป็นเป้า ซึ่งอาจถูกเก็บภาษีในอัตรา 10-20%"
กูรูเศรษฐกิจ บอกว่า หากถูกเรียกเก็บจริง ๆ แค่ 10% ก็มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เพราะปกติสินค้าไทยส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะ 'เหลื่อมกำไร' สินค้าจำนวนมากเป็นสินค้ารับจ้างผลิต หรือที่เรียกว่า OEM (Original Equipment Manufacturer) ไม่มีแบรนด์เป็นของตัวเองทำให้กำไรสุทธิจึงต่ำ
นอกจากนั้น ถ้าสหรัฐฯ ทำสงครามการค้าภาษีกับจีนหรือคู่ค้าอื่นของไทย เราอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมไปด้วยเพราะจะส่งออกลำบากมากขึ้น เช่น จากที่จีนนำเข้าของจากไทยเพื่อเอาไปผลิต ก่อนส่งออกไปอเมริกา เขาก็อาจจะลดการผลิตหรือยกเลิก
ฉะนั้น ปีหน้าเป็นปีที่มีความเสี่ยงสูงในเรื่องของการค้าต่างประเทศ ประเทศไหนก็ตามที่พึ่งพาการค้ากับต่างประเทศมาก ก็จะมีปัญหามากขึ้นตามไปด้วย "ค่าเฉลี่ยปกติการค้าระหว่างประเทศต่าง ๆ จะพึ่งพาการค้ากับต่างประเทศประมาณ 62% ของ GDP แต่ของไทยอยู่ที่ 119% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงกว่าอัตราเฉลี่ยโลกเกือบเท่าตัว"
"ดังนั้น ถ้าเรามีปัญหาต้องไปเจอกับพิษสงของสงครามการค้า ที่จะเริ่มต้นโดยสหรัฐอเมริกา การค้ากับต่างประเทศของเราก็น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าอัตราเฉลี่ย จุดนี้จึงเป็นตัวแปรที่เราต้องเตรียมการตั้งแต่บัดนี้"
เมื่อถามว่า หากสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีกับจีน สินค้าทะลักเข้าไทยอย่างที่หลายคนกังวลหรือไม่?
กูรูให้คำตอบว่า ถือเป็นความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะนอกจากเราจะส่งออกได้ยากลำบากขึ้น ตลาดสินค้าไทยก็เสี่ยงถูกสินค้าจากประเทศอื่นซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่ไม่สามารถส่งออกไปอเมริกาได้ จะเข้ามาสู่ไทย อาเซียน และประเทศอื่น ๆ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราผันผวน :
ความเสี่ยงข้อถัดไป คือ 'ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา' รศ.ดร.สมภพ มองว่า ปีหน้าจะผันผวนเป็นพิเศษ เพราะเมื่อนโยบายของทรัมป์เป็นเหมือนที่กล่าวถึง มันน่าจะมีเงินทุนไหลเข้าสู่อเมริกามากขึ้น ทั้งในภาคการเงินและภาคเศรษฐกิจ ภาคการเงิน เช่น การเล่นหุ้น ลงทุนบิตคอยน์ ธนบัตรต่าง ๆ ตามตลาด เพราะอเมริกามีผลิตภัณฑ์ทางการเงินจำนวนมากให้ลงทุน
ข้อสำคัญอยู่ในเงินที่ไหลเข้าสู่ 'เศรษฐกิจจริง' หรือ 'การเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ โดยตรง' เช่น ภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น เพราะหากประเทศอื่นทำอย่างนั้นจะสามารถเลี่ยงภาษีจากอเมริกาได้ ส่วนนี้จึงจะทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และอาจจะผันผวนสูงด้วย เพราะว่ามีการเก็งกำไรเข้ามามาก
"ผมมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจภาคการเงิน จะเป็นภาคที่มีโอกาสจะเปลี่ยนแปลงมากเป็นพิเศษ เพราะว่าการลงทุนในเศรษฐกิจจริงมีความเสี่ยง อีกทั้งไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้นเป็นมาจากนโยบายของทรัมป์ และตัวเขาเองที่เป็นคนคาดเดาได้ยากว่าจะทำอะไร คนเลยพยายามใส่เกียร์ว่างไม่อยากลงทุน"
"คนจะไปลงทุนภาคการเงินมากขึ้น เพราะเข้าง่ายและออกง่าย ซื้อขายวันหนึ่งกี่รอบก็ได้ โอกาสในการจัดการสินทรัพย์ก็คล่องตัวกว่า มันจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างภาคการเงินกับภาคเศรษฐกิจจริงที่เพิ่มมากขึ้น"
สงครามกระแสหลักเบาลง :
เรื่องของความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามกระแสหลักที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ มองว่า สงครามระดับโลกจะเบาบางลงซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นข้อดี อีกทั้งสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ก็มีโอกาสจะหาทางออกได้
"ผมว่าเขาน่าจะมีการเจรจากันมากขึ้น เพราะล่าสุดเมื่อประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมา ทรัมป์ออกมาประกาศนโยบายล่าสุดสรุปเป็น 3 ข้อหลัก ๆ ว่า ข้อหนึ่ง เขาจะทำให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนยุติลงให้ได้ ข้อสอง จะไปจัดการกับปัญหาในตะวันออกกลางให้ลงตัว ไม่ให้กระเพื่อมและผันผวนเหมือนช่วงที่ผ่านมา และ ข้อสาม เขาสัญญาว่าจะไม่ให้มีการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นอันขาด"
3 เรื่องในนโยบายที่ทรัมป์ประกาศไว้ล่าสุด แสดงให้เห็นว่าปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลกที่สั่นไหวมากว่า 4 ปี ในช่วงที่ โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่อแววจะเปลี่ยนทิศทางไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น แต่ในขณะที่สงครามกระแสหลักลดบทบาทลง สงครามเศรษฐกิจจะมีบทบาทมากขึ้น รศ.ดร.สมภพ กล่าวกับทีมข่าวฯ
การเมืองไทยผันผวน รัฐบาลต้องเน้นสร้างรากฐาน :
ความเสี่ยงเรื่องสุดท้ายซึ่งเกิดจากปัจจัยภายในประเทศ รศ.ดร.สมภพ มองว่า เกิดจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งช่วงนี้เริ่มกลับมาให้เห็นความวุ่นวายเพิ่มมากขึ้น ความขัดแย้งไม่ใช่รูปแบบสองสีเหมือนเดิม แต่จะเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล
"เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐบาลต้องผ่อนหนักเป็นเบา โดยการพยายามดำเนินนโยบายให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะนโยบายเพื่อภายในหรือภายนอกประเทศ หากทำได้ดีจุดนี้จะช่วยให้รัฐบาลได้คะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นไปด้วย"
โดยเฉพาะนโยบายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชนโดยตรง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ หรือการลงทุนต่าง ๆ ต้องวางแผนให้ดี ทำให้เข้าตาบรรดาต่างประเทศ ทำให้มากกว่าที่ชาติอื่นจะทำ ทำให้เขาเห็นว่าทำไมต้องเลือกเรา ท่ามกลางพายุความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
"ข้อสำคัญคือนโยบายภายในประเทศ ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้ดำเนินนโยบายได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เป็นนโยบายเน้นประชานิยมมาก ๆ แบบที่เคยเห็นกันมา ต้องเน้นการสร้างฐานรากให้เศรษฐกิจไทยมีภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการบ้านที่รัฐบาลต้องไปขบคิด เพราะตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังมีเอกภาพอยู่พอสมควร เพียงแต่องคาพยพของการบริหารค่อนข้างสับสน"
อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ทิ้งท้ายว่า โลกภายใต้ชาติอภิมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลก และการเปลี่ยนรัฐบาลของเขา มันก็หมายถึงการเปลี่ยนนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่น ๆ ซึ่งเป็นไปได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ
"ส่งผลให้มันมีความผันผวนที่เป็นไปได้มากมาย ดังนั้น ถ้าจะฝากอะไรถึงทุกคน ผมมองว่าเรื่องแรกต้องดูการบริหารสุขภาพการเงิน และเศรษฐกิจของตัวเองและครอบครัว เพราะอยู่ใกล้ตัวมากที่สุด ต้องระวังการก่อหนี้โดยไม่จำเป็นและเกินตัว"
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
ความคิดเห็น