“จ๋าย ไททศมิตร” รีวิว “ปีทอง” งานแน่นเป็นเหตุ เตือนตัวเองห้ามป่วย ห้ามตาย
ชีวิตที่มาไกลเกินฝัน! สำหรับ จ๋าย ไททศมิตร หรือ อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี นักแสดง-นักร้องสายร็อกเพื่อชีวิตมากความสามารถ ล่าสุด สวมบท “ชู้ต” ชายหนุ่มปากดี ในภาพยนตร์โรแมนติก คอมเมดี้เรื่อง “คุณชายน์ (The Cliche)” จาก คาร์แมนไลน์ สตูดิโอ และ จังก้า สตูดิโอ เป็นตัวละครที่ถูกกล่าวถึงกันเยอะ เลยชักชวนหนุ่มจ๋ายมารีวิวชีวิตเป็น “ปีทอง” ที่คิวงานแน่นเอี้ยดแทบไม่มีเวลานอน เพราะเรียนการแสดงทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิตและเข้าใจครอบครัวมากขึ้น ใน “คนดังนั่งคุย”
อะไรที่ทำให้จ๋ายตัดสินใจอยากเล่นเรื่องนี้
“ตอนแรกคิดอยู่นานเพราะผมเล่นตั้งแต่เวอร์ชันละครเวทีมาแล้ว ใจอยากเล่นแต่แอบกังวลเพราะว่าเป็นผลงานชิ้นแรกเลย เรื่องชายกลาง เดอะ มิวสิคัล หลังจากเรียนจบผมได้เข้ามาวงการบันเทิง ละครเวทีเรื่องนี้เลยของโต๊ะกลม พอได้ยินข่าวว่าจะอะแดปต์เป็นภาพยนตร์เราแอบกังวลเพราะว่าบทมันมีความละครเวทีสูงมากเราไม่รู้ว่าจะอะแดปต์เป็นภาพยนตร์ยังไงก็นึกไม่ออกเลยนัดคุยกับผู้กำกับ กับทีมเขียนบท มานั่งถกกัน ผมกังวลเรื่องนี้” เล่นเรื่องนี้รายล้อมนักแสดงรุ่นพี่ ฝีมือเทพๆทั้งนั้น “ทีแรกก็กังวลเหมือนกัน พอรวมนักแสดงปุ๊บ พี่ดู๋-สัญญา ไม่เคยร่วมงานกันเลย พี่ตั๊ก-บริบูรณ์ ก็เจอกันแค่เคยไปถ่ายรายการที่มีพี่ตั๊ก ส่วนน้องๆ โฟร์อีฟเจอกันหลังเวที แต่ไม่เคยร่วมงานกันเลย เหมือนมากันคนละจักรวาลเราเลยไม่รู้ว่าเคมีในหนังจะเป็นยังไง แต่พอร่วมงานมันแปลกมากเคมีเข้ากันได้โดยไม่ตั้งใจ” มีการละลายพฤติกรรมกันยังไงบ้าง “จริงๆมีเวลาน้อยมาก อาศัยระหว่างทาง กับน้องๆโฟร์อีฟเจอน้อยแต่เจอโจริญเจอบ่อยเพราะเขาเป็นแฟนคลับของวงด้วย มีโอกาสสนทนากันบ่อย ส่วนน้องมายด์ ไม่เคยเจอกันเลยแต่โชคดีที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน ชอบอ่านการ์ตูน ชอบดูการ์ตูนเหมือนกัน เลยทำให้สนิทกันเร็วขึ้น ส่วนพี่ดู๋ ทีแรกเกร็งมากคิดว่าแกน่าจะเป็นคนจริงจังหรือเปล่า พอเจอกันจริงๆพี่ดู๋ฮาเลย เป็นกันเองมากๆ”
ฉากที่ประทับใจในหนังคุณชายน์ ชอบซีนไหน ฉากไหน
“ทุกฉากเลยที่มีชู้ต (หัวเราะ) ทั้งประทับใจและฝังใจ มันเหนื่อยครับ อันดับแรก สอง ยอมรับค่ายก็ดี ที่ทำให้เรามีโอกาสได้รีชู้ส ในซีนที่ยังไม่สมบูรณ์ ผมยอมรับ ช่วงที่ถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้งานผมหนักมาก ถ่าย 2 เรื่องซ้อน ทั้งเรื่องวัยหนุ่มและเรื่องคุณชายน์ หนักมาก จำได้ว่าซีนสำคัญทุกซีนถ่ายหลังจากที่ผมทำงาน 48 ชม. ไม่ได้นอนแต่ต้องมา
ถ่ายต่อ เพราะไม่มีคิวแล้วจริงๆ ทำให้เราไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ต้องคอยบอกผู้กำกับ อยากแก้ไขซีนนี้ สุดท้ายเขาตัดสินใจแก้จริงๆ ขอบคุณทีมงาน ค่าย ผกก.เองก็ดี ที่ตัดสินใจแก้ซีนนี้ให้มันสมบูรณ์ไม่งั้นเหมือนเราติดค้างอะไรในใจ เลยประทับใจที่ทุกคนใส่ใจทุกภาคส่วนกับภาพยนตร์เรื่องนี้จริงๆยอมเสียเวลา เสียเงินด้วยเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด ด้วยบทของชู้ต ถ่ายกันทั้งวัน ผมมีเวลาพักสั้นๆ เพราะออกทุกซีน ช่วงที่ถ่ายทัวร์คอนเสิร์ตขึ้นเครื่องกลับมาออกกองต่อ ช่วงนั้นวนอยู่แบบนี้”
งานแน่นขนาดนั้นจ๋ายแยกร่างยังไงก่อนช่วงนั้นยังมีงานโค้ชเดอะวอยซ์เข้ามาอีก
“ใช่ๆ ห้ามป่วยอย่างเดียว อาศัยนอนบนรถตู้เอา” ทำไมตัวเองต้องทำงานเยอะขนาดนี้ “ต้องบอกว่าปีที่แล้วเป็นปีทองของผมมากๆ เลยนะในเรื่องงาน และทุกๆอย่างเลยมาจากความไร้เดียงสา ผมคิดแค่ว่าดาราคนอื่นๆรับงานเช้าเที่ยงเย็น ก็ไหวกันนี่หว่า เราก็ต้องไหว ผมเลยบอกผู้จัดการว่าถ้าเวลาไหนเสียบได้ ก็เสียบไปเลย สรุปกลายเป็นทำงานเช้าเที่ยงเย็นทุกวันแต่เราลืมว่าทุกคืนเรา ต้องไปเล่นคอนเสิร์ต ลืมคิดว่าเรานอนตอนไหน” คือสนุกกับงานเกินเบอร์ “เริ่มไม่สนุกแล้ว (หัวเราะ) ตอนรับงานไม่รู้จะขนาดนี้คิดว่าทำได้ไง แต่เราไปต่างจังหวัดคือเราลืมคิดเรื่องการเดินทาง โด๊ปอย่างหนักเรียกว่าพี่จ๋ายห้ามตายนะ (หัวเราะ) โตในรถโตในกอง” ปีนี้เอาอีกมั้ย รับงานแบบจุกๆ “เข็ดเลยครับแต่งานปีนี้เหมือนจะเป็นแบบนี้อีก มันต่อเนื่อง งานส่วนใหญ่ที่รับยังไม่ได้รับงานนอกเหนือคอนเนกชันตัวเองเลย”
พอเรามี 2 พาร์ต ทั้งนักร้อง-นักแสดง กลัวเพื่อนๆในวงจะไม่เข้าใจมั้ย
“อันนี้ไม่กลัวเลยเราวางแผนตั้งแต่แรกเลยว่าจะมีเคสนี้ วงเองก็รู้นักร้องนำของเรามีแนวทางมากกว่าการร้องเพลง เขารู้วันนึงมีโอกาสดัง พี่จ๋ายทำได้มากกว่าการร้องเพลง เล่นหนังได้ กำกับ เขียนบทได้ ถ้าเราจัดการดีๆ จะดีกับวงมากๆ เรารู้ตั้งแต่แรก ทำให้เราตกลงกันเราแบ่งเท่ากันหมด สอง กันงานให้วงก่อน วงเรา รับงาน 15 วันต่อเดือน นอกเหนือผมอยากทำอะไรก็ไป เพื่อนๆจะได้หยุด 15 วันใครอยากทำอะไรก็ไปทำ แต่ผมจะไม่ได้หยุดเลย เล่นหนังทำโน่นนี่นั่น” จะดึงเพื่อนๆในวงชิมลางเล่นหนังเล่นละคร “พยายามอยู่ครับ แต่สมาชิกหลายๆคนไม่ค่อยมั่นใจ แต่เราก็เชียร์เค้าอยู่ ล่าสุดมีโปรเจกต์ที่มีพี่โมส นักร้องนำที่พยายามดันเค้าอยู่ ส่วนมีน มือกีตาร์เราพยายามดับแสงเค้าอยู่ ช่วงนี้มันหล่อเกินหน้าผมไปนิด เก่งกว่าได้แต่ห้ามหล่อกว่า (หัวเราะ)”
เท่าที่สัมผัสตัวตนของจ๋ายเป็นคนทำอะไรจะห่วงใยนึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ
“ใช่ครับ ผมว่าเป็นสิ่งที่ต้อง คำนึงเป็นสิ่งแรกๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ความสำเร็จมันไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว ผมไม่เชื่อความสำเร็จไหนจะสำเร็จได้ด้วยตัวคนคนเดียวไปไม่ได้ ต่อให้ความสำเร็จเล็กแค่ไหนก็ตาม อาจจะมีเพื่อนให้กำลังใจ มีแฟนให้กำลังใจ หรือพ่อแม่คอยซัพพอร์ต ยิ่งเราอยู่ในอุตสาหกรรม ทุกงานทุกภาคส่วน มันมีคนตัวเล็กๆ ที่ทำงานของตัวเอง เขาทำบกพร่องมันจะกระทบหมดเลย งานนั้นอาจจะไม่สำเร็จ ทุกองค์ประกอบ สำคัญผมเลยให้ความสำคัญที่มนุษย์เป็นหลัก เขาจะต้องมีความสุขกับงานที่เขาทำ ทุกอย่างก็จะดี” ทำเพื่อคนอื่นขนาดนี้แล้วทำเพื่อตัวเองล่ะ “มันก็สะท้อนกลับมา อาจจะโชคดีความสุขของเรามันมีความสุขเวลาเห็นเค้ามีความสุข ได้ดูซีรีส์ผมก็มีความสุขแล้ว แต่เราอยากสุขยิ่งกว่า การสุขยิ่งกว่าคือการเห็นชีวิตคนคนนึงดีขึ้นแล้วเรามีส่วนร่วมในนั้น ผมว่ามันมหัศจรรย์มากนะครับ” ยังมีใครที่เราตั้งใจอยากเห็นเขามีความสุข “ครอบครัวนี่แหละ ที่ผ่านมาตอนเด็กผมอาจจะไปแสวงหาจากข้างนอกค่อนข้างเยอะ ทุกวันนี้ก็ยังเป็น เพราะพื้นฐานผมไม่ได้โตมากับครอบครัว เพิ่งมามีความสัมพันธ์ดีๆ ช่วงที่โตๆ แล้วนี่แหละ เมื่อก่อนเราเลยไม่ได้นึกถึง เขาเป็นอันดับแรก แสวงหาจากข้างนอกเราไม่รู้จะให้กับครอบครัวยังไง ด้วยความสัมพันธ์ พอโตแล้วทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น สุดท้ายความสัมพันธ์ที่จะอยู่กับเราได้ยาวนานที่สุดมันคือครอบครัว มากกว่านั้นคือคู่ชีวิต เราลืมให้ตรงนี้ไปหรือเปล่า อาจจะต้องแบ่งสัดส่วนตรงนี้บ้าง”
ความสัมพันธ์กับครอบครัวอะไรที่เป็นจุดทำให้เราปลดล็อกตรงนี้ได้
“เพราะการแสดงนี่แหละครับ การแสดงเป็นตัวปลดล็อกหลายๆอย่างในชีวิตของผมเลย จริงๆไม่ได้ดาร์กขนาดนั้น แค่เป็นปมในใจแต่เราไม่รู้ กลายเป็นว่าครอบครัวคุยกันปกติไม่ได้ด่ากันนะแค่ความรักที่ส่งไปมันไม่ถึงกัน เราไม่รู้ถึงความห่วงใยของเค้า เราไม่ได้รับรู้ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลเรา เพราะเขารักเรา เราเองไม่รู้เพราะไม่ได้มองละเอียดขนาดนั้น พอเรามาเรียนละคร เรียนแอ็กติ้งมาอยู่โลกของการทำละคร 4 ปี ทำให้เรามองมิติของมนุษย์ละเอียดขึ้น เราเห็นความห่วงใยของพ่อ แต่วันนั้นเขาอาจจะมีความจำเป็น ดูแลเราไม่ได้ แม่เราก็เป็นเหมือนกัน เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้เพราะเขารักเรามาก มาวันนี้เขาภูมิใจในตัวเรามาก ยิ่งทำให้ผมกลับมารักครอบครัว ทำให้ผมได้เปลี่ยนมุมมอง ทั้งๆที่ตอนเด็กๆ ผมไม่เคยมองเห็นเลย ตอนนี้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นยกเว้นเรื่องการจัดการเรื่องเวลานอนนี่แหละครับ”
เรื่องงานก็ถือว่าประสบความสำเร็จ แล้ว มีแพลนชีวิตสร้างครอบครัวในตอนนี้บ้างมั้ย
“ไม่เลย อาจจะเป็นเพราะว่าผมค่อนข้างละเอียดเรื่องพวกนี้ ผมอยู่ในครอบครัวไม่สมบูรณ์มา ตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยายหรือคุณแม่คุณพ่อ ทำให้ผมอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ตั้งความหวังไว้เยอะ ถ้ายังไม่มั่นใจอะไรจริงๆ ก็ยังดีกว่า ผมไม่รีบนะ คือผมมีเวลาพอหรือยัง โฟกัสสิ่งต่างๆ ตัดมาเพื่อสิ่งนี้เราทำได้หรือยัง ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเลย สถานะทุกวันนี้ก็มีความสุขแล้วครับ”
ปีนี้อยากจะบอกอะไรกับตัวเอง อยากทำอะไรเพิ่มอีกมั้ย
“อย่าตายนะ (หัวเราะ) สู้ๆนะ แค่นั้นเลย พักไม่ได้ แพลนปีนี้แน่นมาก หนังเยอะเหมือนเดิม อยู่ที่เลือกจะเล่นหรือไม่เล่นอะไรบ้าง ละครเวทีแน่ๆ 2 เรื่องแล้ว ต้องทำวง ทำอัลบั้มอีก” เส้นทางชีวิตประสบความสำเร็จ “เกินไปเยอะเลยครับ ไม่คิดเรื่องประสบความสำเร็จอะไรเลย แค่มีชีวิตรอดเพื่อทำงานอย่างเดียวเลย”
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
ความคิดเห็น