เบสท์ ณัฐสิทธิ์ ฟ้องบริษัทตกแต่งบ้าน หนีงาน ทำบ้านร้าวทั้งหลัง เสียหายรวมเกือบ 2 ล้าน

เบสท์ ณัฐสิทธิ์ ฟ้องบริษัทตกแต่งบ้าน 2 ปี ยังไม่เสร็จ หนีงาน ไม่รับผิดชอบ แถมยังทำบ้านร้าวทั้งหลัง มูลค่าความเสียหาย รวมเกือบ 2 ล้าน

วันที่ 5 ก.พ. 67 นักแสดงหนุ่ม เบสท์ ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์ พร้อมทนาย เกรียงชัย วิศิษฏ์สรอรรถ เดินทางมาที่ศาลแพ่งพระโขนง เพื่อยื่นฟ้องบริษัทตกแต่งภายในบ้าน ที่ตั้งใจทำเป็นเรือนหอ สร้างความเสียหายให้กับบ้าน ทั้งยังทำไม่เสร็จตามสัญญา

ในสัญญาได้ว่าจ้างตั้งแต่เมื่อต้นเดือนมกราคม 2565 ซึ่งระบุว่าจะมีการสร้างเสร็จผายใน 120 วัน แต่ปรากฎว่าเวลาผ่านไป 2 ปี บ้านไม่เสร็จ นักแสดงหนุ่มได้พยายามติดต่อเจรจากับทางบริษัทตกแต่งภายใน แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบ เจ้าตัวจึงตัดสินใจเข้าฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย

หลังจากที่ได้นำหลักฐานเข้ายื่นต่อศาลเรียบร้อยแล้ว นักแสดงหนุ่มพร้อมทนายได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการมายื่นฟ้องบริษัทตกแต่งภายในบ้านครั้งนี้ว่า
“ผมซื้อบ้านไว้เป็นเรือนหอ แล้วก็อยากที่จะทำข้างในบ้านใหม่ สุดท้ายก็เกิดความเสียหายจากผู้รับเหมา ซึ่งเขาไม่ได้รับผิดชอบในส่วนที่เกิดความเสียหายระหว่างทาง ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

จนมาถึงวันนี้เป็นเวลา 2 ปีกว่า เรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่เขาทำไปแล้วประมาณ 6 เดือน มีการไกล่เกลี่ยกันแล้วสุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้ เลยคิดว่ามายื่นฟ้องศาลดีกว่า

ผมโอนเงินไปให้เขา 2 งวด จากเดิม 3 งวด มันก็มียอดเงินประมาณหนึ่งแล้ว วันที่เขาให้ผมไปรับงาน ผมก็เข้าไปดูงาน มันพังหมดเลย อยากให้เขามาซ่อมให้ แต่เขาปัดเรื่องการมาซ่อม เขาบอกว่าผมต้องรับงานไปได้แล้ว

ผมก็แย้งว่าจะรับงานได้อย่างไร ในเมื่อสภาพบ้านเป็นอย่างนั้น ครัวร้าวทั้งหมด กระเบื้องก็ต่อไม่ดี ซึ่งกระเบื้องผมก็ได้สปอนเซอร์มาจากแบรนด์หนึ่ง และเขาก็จ้างงานผมเป็นพิธีกรด้วย แต่สุดท้ายก็มีปัญหา เรามีการคุยถึงวิธีการแก้ปัญหากับเขาเรื่องนี้ไม่ตำกว่า 4 รอบ แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น เขาไม่รับผิดชอบเลย

จริงๆ มันมีปัญหาหลายส่วน ทั้งเรื่องของค่าบ้านที่ผมผ่อนชำระไป 2 ปีไม่ได้อยู่ แบรนด์ที่เขาสนับสนุนเขาต้องมีการถ่ายเป็นคลิปเพื่อออนแอร์มันก็ทำไม่ได้”

ทนายเสริมว่า “นอกจากไม่รับผิดชอบแล้ว ยังปัญหาเรื่องโครงสร้างของบ้าน ซึ่งทางตัวน้องเบสก็มีการพูดคุยกับทางคู่กรณีมาหลายรอบ จนทางฝ่ายนั้นยอมรับความผิด ทางตัวน้องได้ไปจ้างวิศวกรมาตรวจ พอตรวจเสร็จก็เจอปัญหาโครงสร้างร้าว รวมถึงลานจอดรถที่เขาทำการต่อเติมก็มีรอยร้าว ตัวบ้านก็ร้าวอีกหลายส่วน จากที่ไปตรวจกับน้องก่อนที่จะมายื่นฟ้องมีรอยที่ขยายตัวมากขึ้น

ผมดูจากใบตรวจวิศวะซึ่งเขาระบุว่ามันไม่น่าจะมีใครอยู่ได้ เขาก็มีเหมือนกัน ในใบของเขาก็ระบุว่าไม่สามารถเข้าอยู่ได้มันอันตราย ให้รีบการดำเนินการแก้ไข

ก่อนที่จะมีการยื่นฟ้องตัวน้องได้มีการยื่นหนังสือการประชุมต่างๆ กับคู่กรณี จนเรื่องมาถึงผม ผมก็ได้ส่งหนังสือไป ทางโน้นก็ส่งหนังสือมาว่าจะรับผิดชอบแค่ไหน ซึ่งมันไม่ได้ครอบคุมค่าเสียหายทั้งหมด

จริงๆ ทั้งงานที่น้องบอกว่าจะมีการมาถ่ายงานที่บ้านน้องที่ต้องยกเลิกไป และปัญหาใหญ่จริงๆ คือบ้านหลังนี้เป็นเรือนหอ ซึ่งเขามีฤกษ์อยู่ แต่เรือนหอกลับเข้าอยู่ไม่ได้ มันก็เกิดปัญหา มันกระทบทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงานด้วย”

นักแสดงหนุ่มเล่าต่อ “รอยที่ร้าวมันร้าวโหดมาก เสาหลักบ้านมันร้าวผ่ากลาง ในครัวก็ร้าว แต่เขาบอกว่าอยู่ได้ ผมเลยบอกให้เขาเอาวิศวะมายืนยันว่าสามารถเข้าอยู่ได้ เขาบอกว่าไม่มี อ้าว..แล้วใครจะรับผิดชอบชีวิตเรา

แต่จุดที่ทำให้ผมเลือกปรึกษาทนาย เพราะเขาบอกว่าไปเรียกทนายมาคุยเลย ผมก็ไม่คุยแล้ว ให้ทนายคุยดีกว่า สำหรับค่าเสียหายรวมแล้วเกือบ 2 ล้านครับ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าครั้งนี้เราแจ้งข้อหาอะไรบ้าง ทนายเผยว่า “เรื่องผิดสัญญาจ้างทำของ เรียกค่าเสียหาย ที่เขามาทำนอกจากทำไม่ให้แล้วเสร็จ ยังมีเรื่องของทำเกิดความเสียหาย ทางเรามีแชท และเอกสารต่างๆ ซึ่งทางโน้นก็มีการเซ็นรับทราบว่าตอนที่มาสร้าง เข้ามาทำไม่กี่วันก็หยุด”

“ทางน้องตั้งใจสร้างให้เสร็จตามกำหนด มีการจ้างวิศวะนอกเข้าไปคุมงาน แต่พอไปถึงปรากฏไม่มีคนมาทำงาน แล้วก็มีการทิ้งงานช่วงเดือน ต.ค.ปี 2565 แล้วก็หายไปเลย

สำหรับเรื่องนี้เบื้องต้นเราดำเนินคดีแพ่งก่อน ยังไม่ได้ดำเนินในส่วนของอาญา แต่ถ้าคุยกันไม่ได้ก็อาจจะมีช็อตต่อไป ซึ่งเรามั่นใจเพราะว่าเรามีเอกสารที่ฝั่งโน้นเขาเซ็นยอมรับความผิดด้วย รวมถึงบันทึกสนทนาต่างๆ ด้วย”

ถามต่อถึงความรู้สึก เบสท์ เผยว่า “ผมเซ็งตั้งแต่มันเกิดเรื่องแล้ว เราผ่อนบ้านมา 2 ปีแล้วไม่ได้อยู่ ผมจ่ายเงินเป็นล้านแล้วแต่ผมไม่ได้อยู่บ้าน มันก็มีความเซ็ง แต่การที่เขาทำผิดแล้วเขาไม่รับผิดชอบ ผมว่าเขาต้องรับผิดชอบกับการที่ผมต้องสูญเสียอะไรหลายๆ อย่าง

ผมเครียดมาก จ่ายเงินไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นอะไรเลย มันส่งผลกับจิตใจเรามากนะ เหมือนเราตั้งเป้าไว้ แต่เราไม่สามารถไปถึงได้เพราะคนอื่น มันเหมือนเป็นปมไปเลยกับสิ่งที่เขาทำ เราต้องเอาเขามารับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำให้ได้”

ขอบคุณแหล่งที่มา :  khaosod