"เป้-อารักษ์" อีกบทบาทฟีลกู๊ด ใน “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” เปลือยหัวใจโสด

ผ่านงานแสดงมามากมาย มาถึงอีกบทบาทฟีลกู๊ดของนักแสดงหนุ่ม “เป้–อารักษ์ อมรศุภศิริ” กับภาพยนตร์ดราม่าตลกไซไฟ “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” จากค่ายหนัง M39 ผลงานการกำกับของ “ตุ๋ย–พฤกษ์ เอมะรุจิ” เล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชีวิตเวียนวนอยู่ใน 4 ยุค คือ ยุคหิน, ยุคบ้านระจันแตก, ยุควิกฤติต้มยำกุ้ง, ยุคโลกอนาคต ทำหน้าที่ส่งต่อ ส่งสาร ส่งความคิดถึง ทำให้ก่อเกิดความผูกพันระหว่างมนุษย์ เลยชวน “เป้– อารักษ์” มาเปิดใจ รวมทั้งเปิดความรู้สึกของการเป็นนักแสดงที่เติบโตและยังโลดแล่นมีผลงานแสดงต่อเนื่อง พร้อมทั้งเปิดเรื่องหัวใจ ที่วันนี้ยังไม่พร้อมมีใครเป็นตัวจริง!!! เริ่มจาก...

บทบาทใน “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” ซึ่ง “เป้” อยู่ในยุควิกฤติต้มยำกุ้ง?

“หนังเรื่องนี้รับบทเป็นโด เป็นบุรุษไปรษณีย์ในยุค IMF ยุคฟองสบู่แตก มีภารกิจที่จะต้องส่งจดหมายให้กับป้าที่อยู่บ้านใกล้ๆกัน คุณป้าก็ป่วยต้องไปอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งในโรงพยาบาลนั้นมีหมอที่สวยมากคือ หมอเมย์ รับบทโดยมุก-วรนิษฐ์ โดเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี ไม่ได้ทะเยอทะยานมากนักแต่ก็ไม่เคยสมหวังกับความรัก ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องความรักแล้ว แฮปปี้กับชีวิต แล้วก็มีความสุขกับการส่งจดหมาย เรื่องนี้พี่ตุ๋ย ผู้กำกับ ก็เป็นคนที่ผมไว้วางใจ ทั้ง M39 ก็เคยทำงานด้วยกันก็แฮปปี้ มันมีความน่าสนใจในเรื่องคอนเทนต์บางอย่างที่มันเกิดขึ้นในยุคนี้ที่ไม่เหมือนกับการส่งจดหมายสมัยก่อนเลยรู้สึกว่าน่าลองดู เรื่องของผมเป็นแนวฟีลกู๊ดแล้วก็จะเป็นภาพที่เหมือนโลกธรรมดาที่สุด ถึงทุกอย่างจะค่อนข้างไกลตัวแต่ของเราคล้ายๆ กับปัจจุบันมากที่สุด เรื่องนี้ที่แบ่งเป็น 4 ยุคเชื่อมความเป็น Post man ของแต่ละคน แล้วมาตีความในแต่ละยุค ความจริงโลกตอนปัจจุบัน Postman หรือบุรุษไปรษณีย์ยังสำคัญอยู่นะ ยังมีการส่งของส่งอะไรมากมายแต่ว่าตัวเราอาจจะลืมไปว่ามันมีหน้าที่นี้อยู่”

ทำงานกับสาวมุก-วรนิษฐ์ เป็นยังไงบ้าง?

“ยอดเยี่ยมครับ สบายมาก ทำงานง่าย น้องมุกเป็นอีกคนที่เก่งกาจได้รับการฝึกฝีมือมาจากละครแล้ว ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเจอกันแต่ผมเป็นเพื่อนพี่ชายเค้า ถามว่าในเรื่องจะมีพาร์ตรักกันมั้ยหรือยังไง อาจจะมีตัวสำคัญอีกตัวนึงคือ พี่เอี้ยง-สวนีย์ ที่เล่นเป็นป้าเพ็ญครับ เป็นตัวสำคัญอีกตัวที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง 3 คนนี้”

ผ่านการเล่นบทที่หลากหลาย อย่างเรื่องนี้เป็นตัวละครที่แปลกใหม่ยังไง? “อย่างที่บอกว่าเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิต ยิ้มๆ พร้อมที่จะให้ทุกคน ถ้าโดนทำร้ายก็ไม่โกรธไม่เอาคืน เอาจริงๆก็อาจจะเคยเล่นนะแต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเทียบเคียงตัวไหน แต่ส่วนใหญ่อาจจะเป็นในละครโรแมนติกคอมเมดี้ครับ”

อย่างในเรื่องนี้ย้อนไปยุค 90 แถมได้ขับมอเตอร์ไซค์? “เป็นมอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่เค้าขับกัน มีการปรับแค่เรื่องแอ็กติ้ง ท่ายืนอะไรแบบนี้ จริงๆมอเตอร์ไซค์ผมก็ขี่ตลอดแต่น้อยลง (หัวเราะ) แต่ในเรื่องเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้เร็วอะไรเลย”

งานแสดงปีนี้มีหลายเรื่องต่อเนื่องมาก?

“มีหนังเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้มี “ขุนพันธ์ 3” มีละคร “กามเทพก้นครัว” กับทางเวิร์คพอยท์จบไปแล้ว แล้วก็กำลังถ่ายอยู่อีกเรื่อง แล้วก็มีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้ออน แล้วปลายปีนี้ก็มีหนังอีกเรื่องที่จะออก”

แน่นมาก? “ก็โชคดีครับ อยากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แฮปปี้มาก”

มีการแพลนไว้มั้ยในหนึ่งปีกับเรื่องงานแสดง? “มันเคยมียุคนึงที่ผมอายุเท่านี้แต่จำนวนที่ผมเล่นหนังและละครมารวมกันเยอะกว่าอายุแล้ว หมายถึงว่าปีต่อปีนะ เพราะฉะนั้น 1 ปีผมไม่ได้ทำแค่ 1 โปรเจกต์มันก็เลยกลายเป็นว่าช่วงหลังๆ เลยพยายามทำทีละอัน ไม่อยากให้มันชนกัน แต่ตามสไตล์การถ่ายทำของบ้านเราก็จะเลื่อนบ้างย้ายบ้าง ต้องปรับเปลี่ยนเวลา เพราะผมก็พยายามทำให้แต่ละเรื่องที่ทำมันออกมาดีที่สุดในความรับผิดชอบฝ่ายเรา มีช่วงหลังจะเห็นว่าทรงผมผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆเลยเพราะตัดตามคาแรกเตอร์ รูปร่างมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าทำแบบนี้ได้ทีละเรื่อง มันก็ดีครับ”

อยู่ในลูปของการถ่ายทำงานแสดงต่อๆ กันมาหลายปี?

ผ่านงานแสดงมามากมาย มาถึงอีกบทบาทฟีลกู๊ดของนักแสดงหนุ่ม “เป้–อารักษ์ อมรศุภศิริ” กับภาพยนตร์ดราม่าตลกไซไฟ “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” จากค่ายหนัง M39 ผลงานการกำกับของ “ตุ๋ย–พฤกษ์ เอมะรุจิ” เล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชีวิตเวียนวนอยู่ใน 4 ยุค คือ ยุคหิน, ยุคบ้านระจันแตก, ยุควิกฤติต้มยำกุ้ง, ยุคโลกอนาคต ทำหน้าที่ส่งต่อ ส่งสาร ส่งความคิดถึง ทำให้ก่อเกิดความผูกพันระหว่างมนุษย์ เลยชวน “เป้– อารักษ์” มาเปิดใจ รวมทั้งเปิดความรู้สึกของการเป็นนักแสดงที่เติบโตและยังโลดแล่นมีผลงานแสดงต่อเนื่อง พร้อมทั้งเปิดเรื่องหัวใจ ที่วันนี้ยังไม่พร้อมมีใครเป็นตัวจริง!!! เริ่มจาก...

บทบาทใน “Postman ไปรษณีย์ 4 โลก” ซึ่ง “เป้” อยู่ในยุควิกฤติต้มยำกุ้ง?

“หนังเรื่องนี้รับบทเป็นโด เป็นบุรุษไปรษณีย์ในยุค IMF ยุคฟองสบู่แตก มีภารกิจที่จะต้องส่งจดหมายให้กับป้าที่อยู่บ้านใกล้ๆกัน คุณป้าก็ป่วยต้องไปอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งในโรงพยาบาลนั้นมีหมอที่สวยมากคือ หมอเมย์ รับบทโดยมุก-วรนิษฐ์ โดเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี ไม่ได้ทะเยอทะยานมากนักแต่ก็ไม่เคยสมหวังกับความรัก ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องความรักแล้ว แฮปปี้กับชีวิต แล้วก็มีความสุขกับการส่งจดหมาย เรื่องนี้พี่ตุ๋ย ผู้กำกับ ก็เป็นคนที่ผมไว้วางใจ ทั้ง M39 ก็เคยทำงานด้วยกันก็แฮปปี้ มันมีความน่าสนใจในเรื่องคอนเทนต์บางอย่างที่มันเกิดขึ้นในยุคนี้ที่ไม่เหมือนกับการส่งจดหมายสมัยก่อนเลยรู้สึกว่าน่าลองดู เรื่องของผมเป็นแนวฟีลกู๊ดแล้วก็จะเป็นภาพที่เหมือนโลกธรรมดาที่สุด ถึงทุกอย่างจะค่อนข้างไกลตัวแต่ของเราคล้ายๆ กับปัจจุบันมากที่สุด เรื่องนี้ที่แบ่งเป็น 4 ยุคเชื่อมความเป็น Post man ของแต่ละคน แล้วมาตีความในแต่ละยุค ความจริงโลกตอนปัจจุบัน Postman หรือบุรุษไปรษณีย์ยังสำคัญอยู่นะ ยังมีการส่งของส่งอะไรมากมายแต่ว่าตัวเราอาจจะลืมไปว่ามันมีหน้าที่นี้อยู่”

ทำงานกับสาวมุก-วรนิษฐ์ เป็นยังไงบ้าง?

“ยอดเยี่ยมครับ สบายมาก ทำงานง่าย น้องมุกเป็นอีกคนที่เก่งกาจได้รับการฝึกฝีมือมาจากละครแล้ว ก่อนหน้านี้เราไม่เคยเจอกันแต่ผมเป็นเพื่อนพี่ชายเค้า ถามว่าในเรื่องจะมีพาร์ตรักกันมั้ยหรือยังไง อาจจะมีตัวสำคัญอีกตัวนึงคือ พี่เอี้ยง-สวนีย์ ที่เล่นเป็นป้าเพ็ญครับ เป็นตัวสำคัญอีกตัวที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่าง 3 คนนี้”

ผ่านการเล่นบทที่หลากหลาย อย่างเรื่องนี้เป็นตัวละครที่แปลกใหม่ยังไง? “อย่างที่บอกว่าเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิต ยิ้มๆ พร้อมที่จะให้ทุกคน ถ้าโดนทำร้ายก็ไม่โกรธไม่เอาคืน เอาจริงๆก็อาจจะเคยเล่นนะแต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเทียบเคียงตัวไหน แต่ส่วนใหญ่อาจจะเป็นในละครโรแมนติกคอมเมดี้ครับ”

อย่างในเรื่องนี้ย้อนไปยุค 90 แถมได้ขับมอเตอร์ไซค์? “เป็นมอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่เค้าขับกัน มีการปรับแค่เรื่องแอ็กติ้ง ท่ายืนอะไรแบบนี้ จริงๆมอเตอร์ไซค์ผมก็ขี่ตลอดแต่น้อยลง (หัวเราะ) แต่ในเรื่องเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้เร็วอะไรเลย”

งานแสดงปีนี้มีหลายเรื่องต่อเนื่องมาก?

“มีหนังเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้มี “ขุนพันธ์ 3” มีละคร “กามเทพก้นครัว” กับทางเวิร์คพอยท์จบไปแล้ว แล้วก็กำลังถ่ายอยู่อีกเรื่อง แล้วก็มีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้ออน แล้วปลายปีนี้ก็มีหนังอีกเรื่องที่จะออก”

แน่นมาก? “ก็โชคดีครับ อยากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แฮปปี้มาก”

มีการแพลนไว้มั้ยในหนึ่งปีกับเรื่องงานแสดง? “มันเคยมียุคนึงที่ผมอายุเท่านี้แต่จำนวนที่ผมเล่นหนังและละครมารวมกันเยอะกว่าอายุแล้ว หมายถึงว่าปีต่อปีนะ เพราะฉะนั้น 1 ปีผมไม่ได้ทำแค่ 1 โปรเจกต์มันก็เลยกลายเป็นว่าช่วงหลังๆ เลยพยายามทำทีละอัน ไม่อยากให้มันชนกัน แต่ตามสไตล์การถ่ายทำของบ้านเราก็จะเลื่อนบ้างย้ายบ้าง ต้องปรับเปลี่ยนเวลา เพราะผมก็พยายามทำให้แต่ละเรื่องที่ทำมันออกมาดีที่สุดในความรับผิดชอบฝ่ายเรา มีช่วงหลังจะเห็นว่าทรงผมผมเปลี่ยนไปเรื่อยๆเลยเพราะตัดตามคาแรกเตอร์ รูปร่างมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าทำแบบนี้ได้ทีละเรื่อง มันก็ดีครับ”

อยู่ในลูปของการถ่ายทำงานแสดงต่อๆ กันมาหลายปี?

“มันไม่ค่อยมีช่วงหยุดเลย แล้วงานอดิเรกของเราก็คือทำเพลง ตอนนี้ก็ทำอยู่เหมือนกัน จะออกชุดใหม่แล้วครับ ชื่ออัลบั้มอกหัก ติดยา หมาตาย พฤศจิกายนนี้น่าจะออกเพลงใหม่ ปีหน้าออกทั้งชุดครับ 10 เพลง”

แน่นแบบนี้ตลอด? “ไม่ตลอดครับ เมื่อต้นปีก็ค่อนข้างว่าง แต่ก็เอาเวลาไปพัฒนาสกิลตัวเองหลายๆอย่างเพราะชุดใหม่ อกหัก ติดยา หมาตาย ผมต้องเล่นทั้งแบนโจ ฮาร์โมนิก้า กีตาร์ ร้อง ฝึก 4 อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน หมดเวลาชีวิตแล้ว คือนักดนตรีมันเป็นศิลปะประมาณนึง งานช่างประมาณนึง งานศิลป์ 10% ช่าง 90% (หัวเราะ) มันต้องฝึก มันเป็นสกิลอะแล้วเราไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองทั้งวันทั้งคืน ช่วงล่าสุดคือโควิด เราเลยได้สกิลแบนโจมาก็เล่นแบนโจทั้งวัน อันนี้เราก็กลับมาฝึกสกิลร้องอะไร หวังว่าอัลบั้มนี้ออกไปจะทำให้เราน่าจะมีโอกาสอะไรบ้าง”

เพลงอัลบั้มนี้เราทำเองทั้งหมด? “รอบนี้จะใช้วงมากขึ้น หมายความว่าจะอัดสด สามอัลบั้มที่แล้วจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์เรานั่งทำกับโปรดิวเซอร์ แต่รอบนี้เรามาสร้างงานกับโปรดิวเซอร์แต่อัดสดจริงๆวงผมเก่งอยู่แล้วผมอะต้องเก่งเท่าพวกเค้าเพราะพวกเค้าเป็นนักดนตรีมืออาชีพ เรายังเป็นนักแสดงด้วยฝีมือก็ยังไม่เท่าพวกเค้าแล้วก็เราเป็นคนครีเอทีฟเองทั้งหมด แต่งเนื้อ แต่งทำนองทั้งหมด”

เป้าหมายการเป็นนักแสดงของเราคืออะไร?

“คือการได้รับบทที่หลากหลายไปเรื่อยๆครับ อย่างล่าสุดก็จะมีบทที่แบบว้าวมาก แต่ไม่รู้จะได้เล่นหรือเปล่าแต่ปลายปีก็มีอีกอันที่ผมใส่เต็มข้อมาก ผมชอบอะไรแบบนั้นครับ แล้วก็ยังโชคดีที่ได้มีโอกาสได้ทำแบบนั้นอยู่ อย่างขุนพันธ์ หรือ 4Kings มันก็ถือว่าเป็นอะไรที่ไม่เหมือนเรา แล้วเราก็ได้ทำแบบนั้นแล้วก็สนุกกับมันครับเป้าหมายการแสดงแน่นอนอย่างที่ผมบอก ไม่ใช่รางวัลแน่นอน คือช่วงหลังๆมีคนบอกว่าได้ดูผลงานเราเมื่อก่อน ก็แฮปปี้ที่ได้อยู่ในใจเค้า เพราะฉะนั้นเราอยากสร้างเราอยากเป็นส่วนร่วมในหนังไปเรื่อยๆครับ หนังที่อยู่ในใจคน”

เวลาทำผลงานเยอะ บางอันก็อาจจะเปรี้ยงปร้าง บางงานก็นิ่งๆ เรารู้สึกยังไง? “มันก็มีหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ 4Kings เอาจริงๆตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะฮิตขนาดนั้น”

ตอนนั้นคิดว่าเป็นจุดคัมแบ็กกราฟพุ่งของเรามั้ย? “มีคนบอกเยอะแต่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นจุดกลับมา เพราะผมไม่ได้ไปไหนเลย ผมก็อยู่มาตลอด (หัวเราะ) ในเรื่องชื่อเสียงอาจจะใช่ แต่แปลกที่หนัง ขุนพันธ์ 3 ซึ่งผมก็ออกมาน้อยมากนะ แต่เด็กๆกลับมากรี๊ดกร๊าด ซึ่งภาค 2 ออก ผมก็ยังไม่รู้สึกขนาดนี้เราก็ไม่เข้าใจ แต่มันเป็นเกียรตินะครับ ถ้าถามว่าเรื่องไหนจะปังหรือไม่ปังเราไม่รู้ เราก็ได้ทำเต็มที่ทุกผลงาน”

เวลาที่ผลงานปังขึ้นมาใจฟูมั้ย?

“ก็ยืดขึ้นนิดนึง โม้ได้นิดนึง (ยิ้ม) แต่ก็แป๊บเดียวครับ ชีวิตปกติผมก็ติดดินนะ”

เราก็ผ่านมาหมดแล้วกับวันขึ้นสูง? “ตอนนี้เราก็กลับไปแบบนั้นไม่ได้แล้วเพราะมีคนอื่นๆเข้ามาแทน แต่เราก็ยังโชคดีที่ได้รับผิดชอบในการแสดงบทบาทที่โตขึ้น บทบาทเปลี่ยนไป บางทีก็เป็นบทบาทที่ยังเด็กก็มี การยังได้รับโอกาสตรงนั้นแค่นี้ก็โชคดีมากๆแล้วครับ ทุกอย่างที่เข้ามาหลังจากผมอายุ 30 ต้นๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นโบนัสหมดแล้ว แต่เราก็ยังอยากทำต่อ”

ถ้ามีโอกาสก็ทำไปเรื่อยๆได้ทุกบท? “ผมมองโอกาสที่เข้ามาเป็นระยะสั้น เป็นปีต่อปี ณ ตอนนี้ถึงปีหน้า ยังมีหน้าที่การงานมั่นคง เลี้ยงชีพเราได้ ส่วนของงานดนตรีเราทำตลอดอยู่แล้ว ถึงมันจะไม่เปรี้ยงหรือมันจะหาเงินให้เราไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่งานแสดงก็ยังมีอยู่

โลดแล่นอยู่ในวงการการแสดงมายาวนาน อะไรทำให้แพชชันไม่มีหมด? “ผมว่าการแสดงมันทำให้ผมได้เข้าไปเป็นคนอื่น ได้ไปในที่ที่เราไม่เคยไปตลอดเวลา ได้เจอทีมงานใหม่ๆตลอดเวลา มันไม่ค่อยมีอาชีพไหนแบบนี้ เลยรู้สึกว่าเป็นเกียรติมากๆและโชคดีมากๆที่ได้ทำอาชีพนี้ต่อไป ผมเลยไม่ได้เอาตัวไปพัวพันกับดราม่าต่างๆเพราะผมชอบอยู่กับการแสดงไปเรื่อยๆ”

ตอนนี้ยังมีอะไรที่ท้าทายเราทำให้เราใจเต้นในวงการ? “ใจอาจจะไม่ได้เต้นแรงขนาดนั้น แต่พอเจอบทใหม่ๆเราก็เฮ้ย บทนี้ต้องเอาให้ได้ ต้องศึกษา ชอบอะไรแบบนั้นครับ”

เรื่องความรักล่ะตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“ตั้งแต่เลิกกับแฟนไปก็ไม่มีอะไรเลยครับ”

ตอนนี้มุมมองความรักเป็นยังไง? “ผมไม่ได้มองมุมว่าจะต้องมีครอบครัวแล้ว แต่วันหนึ่งก็อาจจะกลืนน้ำลายนะ (ยิ้ม) ผมไม่คิดว่าการแต่งงานมันจะเข้ากับผม”

มีการทบทวนมั้ยหลังผ่านความรักมาหลายครั้ง เพื่อความรักครั้งใหม่? “ก็ได้เรียนรู้ว่า เราจะไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ด้วยความที่โลกยุคนี้มันเปลี่ยนไป สิ่งรอบตัวหรือความรับผิดชอบมันเยอะขึ้น สมมติเราอยากมีลูก ความรับ ผิดชอบก็มหาศาล ไม่ใช่แค่เรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียวมีเรื่องของเวลาด้วย แล้วในขณะเดียวกันคนมีครอบครัวแล้วผมก็ได้คุยกับเค้า เค้าก็บอกว่ามันไม่ใช่สำหรับทุกคน (หัวเราะ) บางคน ก็ทำได้ดี บางคนก็ทำไม่ได้ ผมคิดว่าถ้าผมไปตรงนั้นแล้วผมน่าจะทำได้แต่เหนื่อย ผมไม่อยากเหนื่อยเลยยอมแพ้ดีกว่า (หัวเราะ) เพื่อนวัยผมมี 2 ฝั่ง มีทั้งมีครอบครัว อาชีพมั่นคง มีลูก กับฝั่งมัธยมจะเซอร์หน่อย มีทั้งแต่งแล้วหย่า ยังไม่แต่ง เพื่อนที่แต่งก็บอกว่าอิจฉาผมที่ยังโสด จริงๆแฟนคนที่ผ่านมาก็เข้าใกล้ชีวิตคู่มากที่สุดแล้ว ด้วยวัย ด้วยทุกอย่าง ด้วยความพร้อม แต่เราเองก็ยังหนีออกมาเองเรารู้ตัวเอง”

ตอนนี้ก็เลยไม่มีการวางแผนเรื่องครอบครัว?

“ไม่ ไม่มีคนคุยด้วย (หัวเราะ) คือค่อนข้างอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว มันก็เลยสบายครับ”

ลึกๆเรากลัวการมีครอบครัวมีพันธะรึเปล่า? “ก็จริงครับ เราไม่อยากสร้างภาระเพิ่ม”

แบบนี้สาวๆที่อยากจริงจังกลัวแล้ว? “ยังไม่ต้องเข้ามาครับ”

ถ้าเจอคนที่ทำให้เราหยุด แล้วเราอยากจริงจังกับเค้าล่ะ? “น่าจะรออีกแป๊บนึง ตอนนี้ยังไม่อยาก แต่ถ้าเป็นโมเมนต์ไปเที่ยวไปกินข้าวกันมีความสุขผมก็ยังอยากมีนะ แต่ถ้าอยากคิดไปถึงแต่งงานมีครอบครัว ณ ตอนนี้คงยังไม่ แต่อนาคตก็ไม่แน่”

ครอบครัวคาดหวังมั้ยว่าวันนึงเราจะมีครอบครัว? “ตอนที่เลิกกับแฟนคนที่ผ่านมาผมโดนพ่อแม่บ่นหนักมาก เค้าก็เป็นห่วงว่าวันนึงถ้าเค้าไม่อยู่ ใครจะมาดูแลเรา และแฟนคนที่แล้วคือแฟนที่ดีที่สุดเข้าใกล้ที่สุด แต่คงเป็นเพราะตัวผมเอง ก็ต้องปล่อยเค้าไป เพราะเป้าหมายเราไม่ตรงกัน แม่ก็เป็นห่วงเสมอ ผมอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับตอนนี้จริงๆ เมื่อไหร่ที่คุณแต่งงานมันออกมาไม่ได้แล้ว คุณต้องรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด”

อะไรที่ทำให้ชีวิตตอนนี้ยังรักความโสดแบบนี้? “ผมมีเป้าหมายในชีวิตเยอะ ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องมีชีวิตคู่”.

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2723618