ก๊อต จิรายุ โต้บอกเลิก โบว์ เบญจวรรณ ก่อนเข้ารายการ ลั่น! ยังรักและเป็นห่วง บันเทิง

เป็นการใจครั้งแรกของนักแสดงหนุ่ม ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล หลังเลิก โบว์ เบญจวรรณ อาร์ดเนอร์ โดยเจ้าตัวมาร่วมงาน แถลงข่าวภาพยนตร์แอ๊กชั่นฟอร์มยักษ์แห่งปี “ปิดเมืองล่า PATTAYA HEAT” และได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่าจริงๆ ก็ยังรักโบว์ พร้อมโต้เรื่องที่โบว์เผยว่า ตนโทรจบสัมพันธ์ก่อนเข้ารายการแฉ

เรื่องราวที่ผ่านมาหลายคนรอฟังจากเรา อยากพูดอะไรบ้าง? “จริงๆ เรื่องที่จำเป็นต้องพูด ผมก็พูดไปในพื้นที่ส่วนตัวจนหมดแล้ว แล้วก็ไม่ได้เพิ่งพูดก่อนเข้ารายการเหมือนที่ออกอากาศไปตอนนั้น แต่ผมว่าทางเขาและพิธีกรน่าจะมีการสื่อสารกันผิดพลาด เลยทำให้เหมือนกับว่าผมโทรเข้าไปบอกก่อนเข้ารายการ แต่จริงๆ แล้วเราคุยกันก่อนหน้านั้นแล้ว”
“ซึ่งในส่วนเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดหรือไม่ควรจะพูด ผมก็ไม่พูดในที่สาธารณะ แล้วตอนนั้นที่ไม่ได้ออกมาตอบโต้อะไร เพราะสุดท้ายแล้วเราตอบโต้ก็เพื่อต้องการที่จะชนะ แต่ผมไม่ได้อยากชนะอะไร แล้วพบว่าผมยังพอทนมันได้อยู่กับเรื่องที่มันไม่จริง แล้วผมก็เชื่อว่าเขาไม่มีเจตนาร้าย น่าจะสื่อสารผิดกันเลยดูเหมือนว่าเราเพิ่งโทรไปแยกย้ายกับเขาก่อนเข้ารายการ ซึ่ง…(ส่ายหัว)”

ยืนยันว่าไม่ได้โทรบอกเลิกโบว์ก่อนเข้ารายการวันนั้น? “(ส่ายหัว) ผมว่าน่าจะเป็นการสื่อสารกันเข้าใจผิด เพราะผมเชื่อแบบสุดหัวใจเลยว่าเขาทั้ง 2 คน ไม่ว่าจะเขาหรือพิธีกรไม่มีเจตนาที่จะพูดออกไปแบบนั้น แต่น่าจะสื่อสารกันผิดพลาดเพราะผมรู้จักเขาทั้งคู่ แต่พอเรื่องมันออกไปแบบนั้นแล้ว ณ ตอนนั้นผมยังไม่อยากอธิบายอะไร เพราะมันเหมือนกับว่าทั้งคนไกลตัวและคนรอบตัวก็ยังเต็มใจที่จะเข้าใจผิดอยู่ ผมก็เลยเลือกที่จะเงียบ โอเค ยังพอทนไหวอยู่”
ทำไมเราไม่เลือกที่จะอธิบาย เพราะหลายคนก็ตีความไปโดยที่เข้าใจตามข่าว? “สาเหตุที่เงียบ เอาตรงๆ เลย ผมกลัวว่าสื่อจะเอาไปขยายต่อจนมันกลายเป็นประเด็นที่.. คือผมเห็นว่าเรื่องการแยกทางกันของคน 2 คน มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก แต่พอสื่อเอาไปกระจายต่อบางทีมันมีผลต่อคนรอบตัว มีผลต่อความรู้สึกเรา ดูเหมือนเราแข็งแรง ความจริงแล้วเราก็มีมุมเซนซิทีฟเหมือนกัน แต่แค่เลือกที่จะเงียบดีกว่า”

แล้วหลังจากนั้นได้คุยกับเขาไหม? “(ส่ายหัว) ไม่ได้คุยอะไรกันเลยครับ (ไม่กลัวว่าเขาจะเข้าใจแบบนั้นเหรอ?) ความเข้าใจของคนอื่นผมไปหาทางปรับไม่ได้ เพราะว่ามันเหมือนแม้แต่ผมกับเขายังไม่เข้าใจกัน นับประสาอะไรกับคนจะมาเข้าใจเรื่องของเรา 2 คน”
เราเองก็ได้ดูรายการวันนั้นจนจบ? “(พยักหน้า) ดูๆ (เขาบอกว่ายังรักเราอยู่?) จริงๆ ผมก็ยังรักเขานะ แต่แค่เราตัดสินใจออกมาเป็นเพื่อน เพราะเราคิดว่าการเป็นเพื่อนน่าจะดีที่สุด แค่นั้นเอง มันไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น เรื่องมันธรรมดามาก (โบว์พูดว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยังไม่มีคำอธิบาย?) อย่างที่ผมบอกเรื่องที่ต้องพูด ผมก็พูดไปหมดแล้วในพื้นที่ส่วนตัว แต่เรื่องที่ไม่จำเป็นต้องพูดและไม่ควรจะพูด ผมก็ไม่พูดในที่สาธารณะ”
วันที่ตัดสินใจมันยากไหม เพราะระยะเวลาในการคบกันก็นาน? “การตัดสินใจมันยากอยู่แล้วครับ ผมเข้าใจความรู้สึกเขา แล้วผมก็เข้าใจความรู้สึกตัวเอง แล้วผมก็อยากจะให้มันเป็นแบบที่เขาต้องการเหมือนกัน แต่มันเหมือนครั้งนี้ผมจำเป็นที่ผมต้องให้มันเป็นในแบบที่ผมอยากให้เป็น จริงๆ ที่ไม่ได้ออกมาพูดอะไรเยอะ เพราะเรารู้สึกว่าเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ผมไม่อยากเอาชนะใครทั้งสิ้นเลย ผมไม่อยากให้เรื่องมันตีกลับไปมา เพราะสุดท้ายแล้วมันเจ็บด้วยกันทั้งคู่ แล้วผมก็อยากให้เป็นเหมือนหลายๆ คู่ที่จบไปแบบธรรมดา”

เป็นห่วงอะไรเขา ทางเขาเองก็มีโดนดราม่าด้วย? “เป็นห่วงเขาครับ แต่สุดท้ายเราได้แต่มองอยู่ไกลๆ แล้วก็มีความคาดหวังว่าเขาจะจัดการทุกอย่างได้ด้วยหัวใจที่เขาเข้มแข็งพอ”
เราเยียวยาหัวใจตัวเองยังไงในวันที่อ่อนแอ? “ผมโชคดีที่แม่พ่อพี่น้องคนรอบตัวไม่รีบที่จะตัดสินผม คนนอกอาจจะเต็มใจที่จะเข้าใจผิด แต่คนในครอบครัวมีการถาม ผมก็ต้องถามเขาก่อนว่าอยากได้ตรงหรืออ้อม (ยิ้ม) คือเรื่องคนสองคนมันเซ้นซิทีฟ เราไม่ควรพูดในที่สาธารณะ เราก็จะพูดได้เฉพาะคนในครอบครัว เพราะเหตุผลมันไม่ได้มีอะไร มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่เมื่อก่อนมันเคยได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แล้ว ก็แค่แยกออกมาเท่านั้นเอง”
แสดงว่าเมื่อก่อนเคยยอมได้แบบนี้ยอมไม่ได้เหรอ? “มันไม่ใช่เรื่องยอมหรือไม่ยอมครับ มันเหมือนวิถีชีวิตเราค่อยๆ ต่างกันไปวันละนิดๆ และผมเริ่มรู้สึกว่าเมื่อไหร่ที่ความรักมันเริ่มมีความพยายาม นั่นแสดงว่าเรากำลังผิดทิศผิดทางหรือเปล่า (แต่ถ้ายังรักกันอยู่มีโอกาสจะกลับมาไหม?) พูดไม่ได้เลย ไม่อยากพูดอะไรตอนนี้เลย ตอนนี้ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปครับ”
สภาพจิตใจตอนนี้กี่เปอร์เซ็นต์แล้ว? “ผมโอเคนะ ผมยังรับได้อยู่กับทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น แต่ถามความมุ่งหวังดีกว่า ว่ามุ่งหวังอะไร ผมมุ่งหวังให้มันจบกันแบบเงียบๆ ก็ทุกครั้งที่ยังมองเขาอยู่ก็ยังมองด้วยสายตาของความรัก และจริงๆ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือวันนี้ ทำงานหนักไม่กลัว ผมกลัววันที่จะต้องมาพูด ผมกลัวว่าจะพูดอะไรผิดไป มันจะไปกระทบเขาหรือเปล่า ผมกลัวไปหมดเลย แต่สุดท้ายแล้ววันนี้มันก็มาถึง (ยิ้ม)”

พอโดนสังคมตัดสินไปแล้วเราอยากอธิบายยังไงไหม? “ไม่ครับ เรื่องปกติ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วความคิดเห็นของคนในโลกโซเชียลมันก็มีหลายลักษณะ คนที่เขาเลือกที่จะเงียบก็มี คนที่เขาจะเลือกคอมเมนต์ไม่ดีก็เยอะ แต่ลึกเข้าไปเขารู้อยู่แก่ใจว่าเขาพิมพ์ในสิ่งที่เขาไม่ได้รู้จริง เขากำลังสร้างจินตนาการของเขาขึ้นมา และเขาก็คิดว่าเราเป็นแบบนั้น ซึ่งมันมีเหตุให้เขาคิดแบบนั้นก็ต้องปล่อยกันไป”
เสียน้ำตาให้กับพวกคอมเมนต์แบบนี้บ้างไหม? “ไม่ครับ ผมเสียน้ำตาให้ผู้รับเหมา (หัวเราะ) (เสียน้ำตาให้กับการจากลาครั้งนี้ไหม?) เราเสียใจอยู่แล้วแหละครับ และมันก็เป็นการตัดสินใจที่ไม่ใช่ง่ายๆ (ได้ย้อนกลับไปถึงเวลาที่ได้อยู่กับเขาไหมเพราะเวลามันยาวนาน?) ตอนนี้ผมน่าจะเดินหน้าเต็มที่ เพราะผมแพลนที่จะไปต่างประเทศหลายประเทศมาก ล่าสุดก็ไปญี่ปุ่นมาคนเดียว แต่ไปเจอเดอะแก๊งที่นู่น มีอะไรที่เราอยากทำเยอะมาก และเราก็ตั้งใจอยากจะทำมันตอนนี้แหละ”

ชีวิตที่ต้องไปไหนคนเดียวทำอะไรคนเดียวมันเปลี่ยนไปไหม? “ไม่ต่างครับ เพราะตอนนั้นก็อยู่คนเดียวอยู่แล้วครับ ส่วนใหญ่นะ (ยิ้ม) (แพลนจะไปเที่ยวหลายประเทศ เพื่อไปรักษาหัวใจหรือเปล่า?) ไม่นะ ผมไม่ได้แคร์เรื่องฮีลใจ ผมเหมือนอยู่ในช่วงที่อยากมีประสบการณ์หลายๆ รูปแบบเต็มที่ และผมต้องการไปโดยที่ไม่มีพันธะ ผมอยากไปอยู่ทิเบตเดือนนึง อยากไปอยู่ญี่ปุ่นเดือนนึง อยากไปดูไบเดือนนึง อยากไปทำอะไรเต็มไปหมดหลังจากที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำมาสักพักแล้ว”
ตอนนี้มุมมองความรักเปลี่ยนไปไหม? “เปลี่ยนนะ แต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น (แต่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดใจใหม่ใช่ไหม?) พักก่อน ขอใช้ชีวิตก่อน (ยิ้ม)”
ขอขอบคุณ แหล่งที่มา : https://www.khaosod.co.th/entertainment/news_7730447
บันเทิง















ความคิดเห็น