หนัง “ออพเพนีฯ” คว้า 5 รางวัล พระเอกเมอร์ฟ ได้ “ดารานําชาย” ลูกโลกทองคํา

ผลรางวัลลูกโลกทองคำ 2024 เป็นไปตามคาด หนัง “ออพเพน ไฮเมอร์” กวาดรางวัลยอดเยี่ยมประเภทดราม่าสูงสุดถึง 5 รางวัล ทั้งหนังยอดเยี่ยม-ผู้กำกับ-นักแสดงนำชาย “คิลเลียน เมอร์ฟี” นักแสดงสมทบชาย “โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์” และดนตรีประกอบหนัง ขณะที่ลิลี่ แกลดสโตน นักแสดงชาวพื้นเมืองอเมริกัน คว้านักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากหนังคิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์มูน ขณะที่หนัง บาร์บี้สุดผิดหวัง เข้าชิงสูงสุด 9 รางวัล กลับได้แค่ 2
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานบรรยากาศคึกคักของพิธีประกาศผลรางวัล “ลูกโลกทองคำ ครั้งที่ 81” (Golden Globes 2024) ซึ่งเป็นพิธีมอบรางวัลใหญ่ในวงการบันเทิงรางวัลแรกของฤดูกาลมอบรางวัลประจำปีนี้ จัดขึ้นโดยบริษัทดิ๊ก คลาร์ก โปรดักชัน และบริษัท เอลดริดจ์ อินดัสตรีส์ ที่รับช่วงต่อจากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของฮอลลีวูด (Hollywood Foreign Press Associa tion) ณ โรงแรมเดอะเบเวอร์ลี ฮิลตัน ในเบเวอร์ลีฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงค่ำคืนวันที่ 7 ม.ค.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับช่วงเช้าวันที่ 8 ม.ค.ตามเวลาในประเทศไทย ท่ามกลางเหล่าดาราดังระดับเอ-ลิสต์ของฮอลลีวูด มาร่วมเดินพรมแดงเข้างานกันอย่างคับคั่ง และมี โจ คอย นักแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนหน้าใหม่ ชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ มารับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ

สำหรับผลการประกาศรางวัลในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นไปตามความคาดหมาย โดยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง “ออพเพนไฮเมอร์” (Oppenheimer) ผลงานการกำกับของคริสโตเฟอร์ โนแลน เล่าเรื่องราวชีวิตของ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ และการแข่งขันพัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรก ประสบความสำเร็จสูงสุดบนเวทีลูกโลกทองคำประจำปีนี้ คว้ารางวัลไปได้มากถึง 5 สาขา จากการถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งหมด 8 สาขา เริ่มตั้งแต่รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ประเภทดราม่า) จากฝีมือการแสดงของโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ดาราดังชาวอเมริกัน วัย 58 ปี ที่แฟนภาพยนตร์ชาวไทยรู้จักดีจากบท โทนี สตาร์ก จากเรื่อง ไอรอนแมน มหาประลัยคนเกราะเหล็ก ต่อด้วยรางวัลในสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม (ประเภทดราม่า) ตกป็นของคิลเลียน เมอร์ฟี นักแสดงชื่อดังชาวไอริช ดนตรีประกอบ (สกอร์) ยอดเยี่ยมจาก ลุดวิก โกรันส์สัน ขณะที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครองได้สำเร็จ และปิดท้ายด้วยรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่สุดของค่ำคืน

ลิลี่ แกลดสโตน
ส่วนคู่แข่งหลักของ “ออพเพนไฮเมอร์” อย่าง “คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน” (Killers of the Flower Moon) เรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมของกลุ่มคนขาวที่หาทางเข้าครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่สงวนของชาวอินเดียนแดง เผ่าโอเสจที่ขุดพบน้ำมันดิบ ด้วยการแต่งงานกับคนพื้นเมือง ผลงานล่าสุดของมาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับระดับตำนานที่มีชื่อเข้าชิงถึง 7 สาขา คว้าไปได้ 1 รางวัลจากฝีมือการแสดงของลิลี่ แกลดสโตน นักแสดงเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกัน ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ทำให้เธอเป็นนักแสดงพื้นเมืองคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ในประวัติศาสตร์ 81 ปีของลูกโลกทองคำ โดยแกลดสโตน ขึ้นกล่าวรับรางวัลด้วยภาษาพื้นเมืองของเธอ กล่าวว่าเป็นรางวัลแห่งประวัติศาสตร์ และรู้สึกซาบซึ้งมากที่สามารถพูดภาษาของตนเองได้บนเวทีนี้ แม้แค่เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ขณะที่ภาพยนตร์ดาวเด่นแห่งปีอย่าง “บาร์บี้” (Barbie) ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากที่สุดถึง 9 สาขา ได้รับรางวัลเชิดชูความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากภาพยนตร์ทำรายได้ทั่วโลกสูงถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ หรือราว 48,970 ล้านบาท ขณะที่เพลง “วอต วอส ไอ เมด ฟอร์” (What Was I Made For?) ของบิลลี เอลลิช ป๊อปสตาร์ชื่อดังชาวอเมริกัน คว้ารางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

พอล จิอาแมตติ
นอกจากนี้ รางวัลเด่นๆอื่นยังมีการกลับมาทวงรางวัลนักแสดงเจ้าบทบาทอีกครั้งของพอล จิอาแมตติ ที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทหนังตลก/มิวสิคัล จากเรื่อง “เดอะ โฮลโอเวอร์ส” (The Holdovers) รวมทั้งนักแสดงสาวสวยมากฝีมือ เอ็มมา สโตน ดีกรีนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเวทีออสการ์เมื่อปี 2560 จาก “ลาลา แลนด์” (La La Land) คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ประเภทหนังตลก/มิวสิคัล จากเรื่อง “พัว ติงส์” (Poor Things) ขณะที่ปรมาจารย์ด้านแอนิเมชันจากญี่ปุ่น ฮายาโอะ มิยาซากิ วัย 82 ปี แห่งสตูดิโอจิบลิ คว้ารางวัลภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์แฟนตาซีความยาว 124 นาที เรื่อง “เดอะ บอย แอนด์ เดอะ เฮรอน” (The Boy and the Heron) หรือชื่อไทยว่า เด็กชายกับนกกระสา ถือเป็นการชนะรางวัลลูกโลกทองคำครั้งแรก สำหรับภาพยนตร์แอนิเมชันที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารางวัลลูกโลกทองคำมักถือเป็นตัวชี้วัดในเบื้องต้นว่า ผลงานภาพยนตร์เรื่องใดในปีที่ผ่านมาจะมีโอกาสได้รับเกียรติยศสูงสุด คว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างรางวัลอคาเดมี อวอร์ดส์ หรือ “ออสการ์” ซึ่งมีกำหนดประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มี.ค.นี้
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
บันเทิง















ความคิดเห็น