"กอล์ฟ-ไมค์" รียูเนียนคอนเสิร์ตใหญ่ ย้อนความทรงจำ เปิดชีวิตซุปตาร์ดูโอตัวท็อปมีครบทุกรส

เรียกว่ามาถึงวันนี้ที่รอคอยในรอบ 14 ปี ที่ได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว กับการรียูเนียนของดูโอซุปเปอร์สตาร์สุดฮอตยุคมิลเลนเนียมเจ้าของตำนานผมรากไทรอย่างสองหนุ่มพี่น้อง “กอล์ฟ-ไมค์” ทั้ง “กอล์ฟ–พิชญะ นิธิไพศาลกุล” และ “ไมค์–พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” พร้อมคัมแบ็กกลับมามอบความสุข ความทรงจำ ในคอนเสิร์ตใหญ่ GOLF MIKE : Bounce To The Future Concert วันเสาร์ที่ 2 ธ.ค.นี้ ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี พาทุกคนย้อนไปดื่มด่ำความรู้สึกเก่าๆที่คิดถึง พร้อมกับสัมผัสความเป็น “กอล์ฟ–ไมค์” วันนี้ในเวอร์ชันที่เติบโตขึ้น เลยชวนทั้งคู่มานั่งคุย
เล่าถึงคอนเสิร์ตรียูเนียนครั้งสำคัญครั้งนี้หน่อย?
กอล์ฟ : “เรากำลังจะมีคอนเสิร์ต GOLF-MIKE : BOUNCE TO THE FUTURE เป็นคอนเสิร์ตกอล์ฟไมค์รียูเนียนครั้งแรกในรอบ 14 ปี
วันที่ 2 ธ.ค.66 นี้ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ความพิเศษมันเป็นเหมือนคอนเสิร์ตที่เราทำขึ้นมาเพื่อให้แฟนคลับกอล์ฟไมค์ตั้งแต่สมัยก่อนได้มีโอกาสดูกอล์ฟไมค์ในปัจจุบัน เหมือนได้ย้อนวันวานไปในความรู้สึกในช่วงนั้นที่แต่ละคนคิดถึงกันอีกครั้ง”
สิ่งที่อยากสื่อสารในคอนเสิร์ต? “ชื่อคอนเสิร์ตคือ Bounce To The Future คือเอา 2 สิ่งมารวมกัน สิ่งที่แฟนๆ อยากเห็นและโหยหา กับสิ่งที่มีความเป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่เราชอบ เล่นกับคำว่า Back To The Future of ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ มันคือการย้อนเวลา เราก็เหมือนเอาคำว่า Bounce แทนคำว่า Back เด้งกลับไปในอดีตไปเอาความคิดถึง ภาพต่างๆของความเป็นกอล์ฟไมค์ทั้งหมด เด้งมันกลับมาสู่อนาคต มาในธีมไซไฟและอวกาศที่เราชอบ มีทั้งความล้ำ ทันสมัยอนาคตแต่ว่ามันก็ยังมีความคิดถึงที่แฟนๆโหยหา”
ผมรากไทรต้องมาแล้ว? ไมค์ : “ต้องรอดูครับ สมัยก่อนทรงผมกอล์ฟไมค์นี่คือใช่เลย” กอล์ฟ : “ตื่นเต้นนะ เป็นการรอคอยที่รอมานานมาก เป็นกอล์ฟไมค์อีกเวอร์ชันหนึ่งที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ว่ายังคีปความเป็นออริจินอล”
การเตรียมตัวถึงตอนนี้ล่ะ?
กอล์ฟ : “กอล์ฟได้ไปขึ้น 2k concert เหมือนเป็นการซ้อมเพื่อสนามรบจริง ช่วงนี้เราเพิ่งเริ่มเข้าห้องซ้อมกัน ซ้อมกันแทบทุกวัน สลับกับการไปฟิตเนส ออกกำลังกาย และคาร์ดิโอด้วย เพราะคอนเสิร์ตนี้เต้นเยอะมาก และร่างกายเราสองคนต้องพร้อมเพื่อคอนเสิร์ตในครั้งนี้ พร้อม
กับประชุมกับทีมงานเรื่องเพลงโชว์ต่างๆ”
ไมค์ : “ของผมผ่านเวทีแข่งขัน Call Me by Fire season2 ตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมซ้อมทุกวันเป็นเวลา 4 เดือน ทุกเวทีคือเต้นหนัก ร้องหลากหลายสไตล์ ถือว่าเป็นการเทรนนิงที่ดี ปีนี้กลับมาไทยผมก็เข้าฟิตเนส คาร์ดิโอ เพื่อการที่เราต้องอยู่บนเวทีเป็นหลายชั่วโมง ตอนนี้เราซ้อมกันหนักมากคอนเสิร์ตนี้จะเป็นฟีลปาร์ตี้เลี้ยงรุ่นมาสนุกกันแบบไม่ได้มาดูแค่คอนเสิร์ต บัตรใกล้หมดแล้ว ขายบัตรที่แอปพลิเคชัน The Concert และ www.theconcert.com ส่วนแขกรับเชิญที่ประกาศไปแล้วก็จะมี G-JR, แซนด์-แบงค์ และมีที่ยังไม่ประกาศครับ เป็นแขกรับเชิญที่อยู่ในการเดินทางชีวิตของกอล์ฟไมค์”

จริงๆในวันที่รอคอยมาจนถึงวันนี้ เคยคิดมั้ยว่าจะอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้?
กอล์ฟ : “จริงๆผมก็สะกิดไมค์มาตลอด ตอนนั้นคิดว่าจะทำโฮโลแกรมแล้วครับ มันมีช่วงที่เหมือนเราล้มเลิกความคิดไปแล้วแต่มันก็เหมือนอยู่ดีๆก็มีอะไรมาจุดติดใหม่”
ไมค์ : “เพราะผมเองครับ ผมชอบให้ความหวังเค้า”
กอล์ฟ : “ตอนแรกคิดว่าจะเกิดขึ้นแล้วตอนช่วงแรกๆของโควิด-19 ระบาด ช่วงนั้นมีคนสนใจมาก แต่พอมันเป็นออนไลน์ไง เราก็เลยไม่เอา เลยเลือกทิ้งโอกาสนั้นไปก่อนแล้วรออีก คิดในใจว่าไหนๆก็รอมาแล้วรอมา 10 กว่าปีแล้ว รออีกนิดจะเป็นไร”
รู้สึกยังไงเวลาได้ยินคนพูดว่ายังคิดถึงกอล์ฟไมค์เสมอ?
กอล์ฟ : “คิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่กระตุ้นให้เรากลับมา”
ไมค์ : “จริงๆผมไม่มั่นใจว่ากลับมาแล้วมันจะมีคนมาดูหรือเปล่า มาสนใจหรือเปล่าเพราะมันนานแล้ว แล้วเราก็มีข่าวนั่นนี่ก็เลยไม่มั่นใจ ไม่กล้ากลับมา แต่รอบนี้ที่ยอมกลับมาเพราะว่าไม่ได้แล้ว เราจะมัวใช้ชีวิตอยู่ในอดีตแล้วก็มันไม่มั่นใจ มามัวแต่กลัวนู่นกลัวนั่นกลัวนี่ไปหมดก็ไม่ได้ ต้องฟรีออกจากตรงนี้ให้ได้ ไม่งั้นผมก็ไปต่อไม่ได้เหมือนกัน”
กอล์ฟ : “มันจะมีคนที่แบบพอมีคอนเสิร์ตรียูเนียนเค้าบอกว่าเมื่อไหร่กอล์ฟไมค์ รอตั้งนาน กอล์ฟก็เลยเซิร์ฟลงไป คอมเมนต์เข้ามาเป็นพัน เขาก็เลยแบบเอาละอย่างน้อยนี่ก็มีคนที่ซื้อตั๋วแล้วล่ะ มีคนรอคอย จริงๆแล้วเขาก็คิดถึง”
พูดโมเมนต์ความเป็น “กอล์ฟ–ไมค์” ฟีเวอร์ ไอดอลตัวท็อป ความสุขวันนั้นมันเป็นยังไง?
กอล์ฟ : “ถ้านั่งนึกถึงตอนนี้ บางทีได้ดูคลิปตอนเด็กๆก็มองย้อนกลับไปว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราไปถึงจุดสูงสุด เราควรมีความสุขกับความทรงจำนั้น ผมมองว่าที่เราอยู่ได้ทุกวันนี้คือเพราะวันนั้น คิดถึงภาพตอนที่อยากขึ้นไปร้องเพลงให้แฟนๆ ฟัง เพราะหลังๆผมก็จะมาเน้นทำอย่างอื่นอีกสายงานหนึ่งที่เราก็ถนัดชอบ แต่ตรงนั้นเหมือนเราซึมซับกับมันมาตั้งแต่เด็กจนมันอยู่ข้างในตัวเราแล้ว”
ไมค์ : “พูดตรงๆความทรงจำช่วงนั้นมันเลือนลางมากเลยมันแค่จำความรู้สึกได้มากกว่าว่าเออเราเคยออกไปข้างนอกไม่ได้ ทรงผมเราคงเด่นเกิน มันก็เป็นความทรงจำดีๆ อย่างที่กอล์ฟบอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตคือเราก็เคยเป็นแบบท็อปสตาร์ มีคนขี่มอเตอร์ไซค์ตาม”
กอล์ฟ : “เราอยู่ในยุคที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ยุคที่จับต้องยากกว่าจะได้เจอศิลปิน”
แล้วตัวเราเองทั้งคู่ล่ะ ความยากในการฝึกฝนเป็น “กอล์ฟ–ไมค์” ท่ามกลางความกดดันต่างๆ?
ไมค์ : “ยุคนั้นการเป็นดาราหรือศิลปินไม่ได้ง่าย มันต้องผ่านนู่นนี่หลายอย่างมากกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ก็ยังดีนะที่อยู่มาได้ถึงทุกวันนี้”
กอล์ฟ : “ก็ดีนะครับที่เราอยู่ในยุคนั้นที่เราพยายามอยู่จนได้และรักษามันให้ดีเพราะไม่ได้มาง่ายๆ ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่หลายคนทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองอยู่ในสปอตไลต์ ขอแค่ฉันดังแต่แล้วก็หายไป ก็เลยรู้สึกว่าโอเคข้อดีของการที่เราเติบโตมาในยุคศิลปินยุคนั้น ทำให้เราพยายามรักษามัน”
เลยพาให้สองคนมาไกลไม่จมไม่หายไปไหน จนมาถึงตอนนี้? กอล์ฟ : “เรียกว่าเป็นการปรับจูนตัวเอง ไมค์ก็มีทาง ของไมค์ ไปทางการแสดงไปทำงานที่จีน ของกอล์ฟก็อาจจะมีทำยูทูบ ทำนี่ทำนั่น อยู่ที่การปรับตัวเข้ากับยุคสมัย กอล์ฟเป็นคนเนิร์ดๆ เมื่อก่อนความกอล์ฟไมค์ต้องเท่ๆ แต่กอล์ฟจะไม่สนใจ ต่อให้ใครจะมองว่าฉันไม่เท่ โตมากับของเล่น อาร์ตทอย อ่านการ์ตูน พอเราทำอะไรที่เราชอบไปเรื่อยๆ คนจะเห็นว่าเราชอบสิ่งนั้น เราก็จะได้สิ่งนั้นเข้ามาในชีวิต มันกลายเป็นงานที่เมกมันนี่ให้เรา แล้วเราก็มีความสุข”
ไมค์ : “เมื่อก่อนผมมองว่าต้องต่อยอด ไม่มีความสุขก็ได้แต่ว่าเส้นทางงานต้องเดินหน้า หลังๆผมก็เป็นคล้ายๆกอล์ฟ โตขึ้นมองความสุข”

โมเมนต์ระหว่างเราสองคนพี่น้องล่ะ?
กอล์ฟ : “เด็กๆตีกัน ด้วยความที่เราเป็นเด็กผู้ชายที่ทำงานตั้งแต่เด็กแล้วถูกเปรียบเทียบกันตลอด เหมือนการแข่งขันกันเบาๆ ตอนเด็กๆไมค์จะชอบเล่นเกม กอล์ฟเพิ่งเข้าแกรมมี่มาเห่อกับการเรียนเต้นซ้อม ก็จะจี้น้องว่าทำไมไม่ซ้อม เล่นแต่เกมอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวจะลบเกม ตีกัน ปากรรไกรใส่ก็มี ด้วยความที่ไมค์เด็กกว่าพอเทียบสกิลกันมันถูกเปรียบเทียบกันไปโดยปริยาย มุมดีมันก็มีความสุขที่ได้ร้องเพลงกับน้อง แต่ในมุมทะเลาะกันมันก็คือความเป็นเด็ก ด้วยความที่เราสองคนเป็นคนไม่ค่อยพูด บางทีก็ไม่ได้เคลียร์ความรู้สึกกัน พอโกรธกันก็เงียบหายไปแล้วก็ถูกบังคับให้คุยกันด้วยงาน เราเป็นคนชอบจิก ตอนนั้นมีเพลงที่เราเป็นโปรดิวเซอร์ เราก็ลืมไปไง ต้องเอาอย่างนี้ ร้องอย่างนี้ จี้เกินไป วันนั้นต่อยกันในห้องอัดเลย กระชากคอเสื้อกันเลย”
ผ่านกันมาทุกรสชาติ มีการเคลียร์ใจในวันที่ต้องแยกกันไปมั้ย? กอล์ฟ : “ไม่ได้เคลียร์เลยเนอะ” ไมค์ : “พอแยกออกไปโตแล้วก็กลับมาเจอกันมันรู้สึกว่าอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกัน พอแยกกันไปก็เกิดความคิดถึง” ไมค์ : “พอเราไปเติบโตกลับมาในเวอร์ชันที่โต มายด์เซตต่างๆเปลี่ยน” กอล์ฟ : “พอมาทำเพลงเดี่ยว ไมค์ไปจีน กอล์ฟไปอีกทาง ได้ใช้ชีวิตเราก็เริ่มรู้ว่า อ๋อ บางทีสิ่งที่เราพูดกับน้องเราก็อาจจะต้องพูดให้เบาลง เลยมีกระดาษที่กอล์ฟเขียนไว้ให้ไมค์ก็คืออันนั้นแหละขอโทษ”
...
แต่หลายคนประทับใจวันที่ ไมค์แถลงข่าวแล้วกอล์ฟเข้าไปกอดน้องร้องไห้? กอล์ฟ : “ผมตีกันเองกับน้องได้ แต่ว่าใครมาตีไม่ได้ เก็บน้องไว้ให้ตัวเองด่า (หัวเราะ)”
เวลาเราเจอเรื่องหนักๆอีกคนก็อยู่กับเราเสมอ ประทับใจยังไง?
ไมค์ : “ผมมีครอบครัวที่ซัพพอร์ตเรา เราทำงานกันมาตั้งแต่เด็ก โตกันมาก็มีกัน 2 คนตั้งแต่ตอนผมเริ่มก็นู่น 11 ขวบ ก็เห็นกันมาอย่างนี้ ทำงานด้วยกันมาสิบกว่าปี ต่อให้แยกกันมันก็หนีกันไม่พ้น มันก็คือเซฟโซนแหละครับ ชีวิตคนเราผมว่ามันมีแค่ไม่กี่คนที่เรารู้สึกว่าเราฝากกับเค้าไว้ทุกเรื่องได้แค่นั้นเอง”
กอล์ฟล่ะจากที่วันนั้นเด็กที่เราจี้ขึ้นมา เค้าโตขึ้นเยอะมั้ย? กอล์ฟ : “ใช่จริงๆเค้าโตขึ้นเยอะมาก ตอนเด็กๆเค้าจะเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ พอไมค์ได้ไปทำอะไรที่เป็นของตัวเองแล้วได้เติบโต ได้ไปเป็นแบบซุปเปอร์สตาร์ดังที่จีน ทำสิ่งที่เค้ารัก เราก็ดีใจที่เค้ามีจุดยืนของเค้า มีตัวตนที่ชัดเจนและประสบความสำเร็จในมุมของเค้า”
เส้นทางคอนเทนต์ครีเอเตอร์ของกอล์ฟตอนนี้?
กอล์ฟ : “ก็ดีครับ มันก็มีต้องคิดอะไรใหม่เสมอ เหมือนเป็นกิจวัตร ต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับแพลตฟอร์มใหม่ๆทำวิดีโอสั้นลงเราก็ต้องมาเรียนรู้ให้อยู่ในยุคสมัย”
หลายคนจะมองว่าชีวิตเป็นคอนเทนต์ไปหมดหรือเปล่า? “กอล์ฟยังมีความเกรงกลัวมาจากสมัยก่อนที่เป็นศิลปินว่าฉันควรทำมันเหรอกับการที่เอาเรื่องนี้มาทำให้มันสร้างเป็นดราม่าโดยที่ตัวเองรู้ แต่มันจะคุ้มมั้ย เราจะค่อนข้างเวทนิดนึงเพราะว่าเราก็สร้างมานาน พยายามศึกษาและเข้าใจกับโซเชียลมีเดียและการทำ Content พยายามทำคอนเทนต์สร้างสรรค์ ตัวกอล์ฟเองรู้ตัวเองแล้วว่าเป็นคนที่แบบสนุกสนานเฮฮา และเป็นคนที่แบบพลังบวก อยากจะให้คอนเทนต์ที่กอล์ฟทำมันให้พลังบวกกับคนมากกว่า”
ไมค์ล่ะเข้าสู่โลกโซเชียลมั้ย? ไมค์ : “เคยลองทำยูทูบเหมือนกันแล้วก็แบบไม่ไหวจริงๆ ตื่นมาแล้วแบบคุยกับกล้องมันไม่ใช่ เลยถนัดไลฟ์มากกว่า ไลฟ์ใน TikTok คุย ร้องเพลง จริงๆปีนี้มีหลายอย่างที่ผมพยายามก้าวข้ามผ่านความกลัวต่างๆ ออกไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปบ้าง”
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรารู้สึกอยากก้าวมา? ไมค์ : “ก็ถึงเวลาเฉยๆรู้สึกว่าไม่ไหวเหนื่อย เหนื่อยที่ต้องแบบว่าทำไมเราถึงต้องทำได้แค่นี้ ทำไมทำเหมือนที่คนอื่นทำไม่ได้ ก็ไปนั่งดูว่าคนอื่นเค้าทำอะไรกันเหมือนกับคนปกติทั่วไปที่ใช้ชีวิตธรรมดา แม้กระทั่งดาราด้วยกันเองคือทำอะไรกัน เค้าไลฟ์ป่ะ เค้าก็ทำได้นี่แล้วทำไมเราถึงทำไม่ได้เพราะว่าที่ผ่านมาคือกลัว ถ้าเราพูดอะไรผิดไป แต่ถ้าเราเกิดทำอะไรผิด มันเป็น trauma ของผม ซึ่งผมพยายามหลุดออกจาก trauma นั้น”
ปีนี้ไมค์เลยมีผลงานที่ดูหลากหลายมาก? ไมค์ : “ก็มีอย่างไปเล่น MV ลังเลของพีพี-กฤษฏ์ ก็เป็นอันนึงที่ผมปลดล็อกตัวเอง อันนั้นคือไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่ได้คิดว่าจะมีกระแส เราก็สนุกไปกับมันแค่นั้นเอง แต่มันกลับทำให้ปลดล็อกบางอย่างในจิตใจเราด้วยไปทีละนิดทีละส่วน ถือ
ว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างโอเคนะสำหรับปีนี้ อย่างไปอีเวนต์ ไปเจอผู้คน ไลฟ์ใน TikTok คนรอบข้างบิลต์ นานมาก ครั้งแรกรู้สึกว่าเฮ้ย มันโอเคนะ สนุกดี เหมือนคนเหงาคุยกับแฟนๆไปนั่งให้แฟนๆเต๊าะอะไรอย่างนี้ งานก็เหมือนได้ไปเปิดโลก ผมบินทุกเดือนเลย ไปแบบเจอผู้คนใหม่ๆ เจอแบบรู้จักคนใหม่ๆ ทำให้เรารู้สึกว่าแบบไปข้างนอกมันยังมีโลกอะไรอีกหลายอย่างมากสำหรับคน introvert อย่างเราที่ได้ออกไปขนาดนี้ อย่างน้อยๆเราได้มีจุดของความเปลี่ยนว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในตัวเรา ซึ่งมันค่อยๆไปมีผลกับงานในอนาคตที่เราคิดจะทำ ไม่ว่าจะโปรดิวซ์เพลง เราได้แรงบันดาลใจ ได้แพสชันของเรากลับมา เพราะเราเติมเชื้อเพลิงเหล่านี้เข้าไปจากคนใหม่ๆที่เราได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มันก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยที่ทำให้คอนเสิร์ตกอล์ฟไมค์เกิดขึ้นเพราะเรากล้าขึ้น”
แล้วก่อนหน้านี้ทำไมถึงปิดตัวเอง? ไมค์ : “ก็อยู่คนเดียวกับความคิดมันก็วนอยู่ของตัวเอง มันต้องเป็นแบบนี้แน่เลย คนยังเกลียดเราอยู่ คนไม่ชอบเรา ผมเป็นคนกำแพงสูงปรี๊ดเลย”
วันนี้กำแพงเตี้ยลงมั้ย? ไมค์ : “มันก็ยังมีอีกนิดนึง ผมแบ่งเป็นเรื่องๆ บางเรื่องก็เตี้ยลงบางเรื่องก็ยังเท่าเดิม บางเรื่องมันสูงขึ้น”
เรื่องที่เรามีกำแพงก็คือเรื่องความรักที่เปิดใจยาก? ไมค์ : “ครับ เปิดใจยาก ยังค้นหาตัวเองอยู่ว่าต้องการอะไรกันแน่ ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าความรู้สึกเรายังไม่ชัดเจนเราก็ยังไม่ต้องไปเริ่มต้นกับใคร ผมเป็นคนไม่มีสเปกตายตัวคือมันใช้ความรู้สึกล้วนๆ ผมเชื่อแค่ให้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติเดี๋ยวจักรวาลจะเหวี่ยงมาให้เราเอง”
ความรักของกอล์ฟกับแอนนี่ล่ะ ไม่ค่อยเห็นลงรูปคู่เป็นรักไม่หวือหวา?
กอล์ฟ : “แอนนี่ไม่ได้มาช่องบ่อยๆเหมือนตอนแรกๆ มีตอนไปดู UFO ซึ่งเราก็ได้อธิบายแล้วว่าตอนนี้เค้าไปเน้นเรื่องดีเจ มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เค้าถนัดที่สุดในการเป็นยูทูบเบอร์กับกอล์ฟ เลยคุยกันคือกอล์ฟก็ควรจะมีแนวทางของกอล์ฟ เค้าโอเคเพราะเค้าก็ไม่ได้อยากออกกล้องขนาดนั้น”
หลายคนเป็นห่วงว่าแอนนี่หายไปไหนคนถามเยอะไหม? “ถามเยอะครับ ส่วนเรื่องลงรูป ก่อนหน้านี้การคบกันเราก็ต้องปรับจูนกัน เค้ามีเรื่องการแต่งภาพก่อนลงที่ค่อนข้างนานและเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์มาก จนบางทีกอล์ฟบอกว่าไม่ลงแล้วก็ได้หมดมู้ดแล้ว (หัวเราะ) ถ้าจะลงรูปคู่ต้องรอเค้าแต่งรูปกลับมา มันนานไป แต่เดี๋ยวนี้เค้าแต่งรูปเร็วขึ้น แต่จริงๆก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนะครับ คือตอนนี้ทุกอย่างก็แฮปปี้ดี แต่ยังไม่ได้คิดไกล ให้แอนนี่ได้เติบโตกว่านี้ก่อน และตัวเราเองด้วยครับ”.
เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย
ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath
บันเทิง















ความคิดเห็น