PERSES บอยกรุ๊ปคลื่นลูกใหม่ 5 คน 5 คาแรกเตอร์ แตกต่างแต่ลงตัว

- กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ง่าย เป็นศิลปินฝึกหัดนาน 2 ปี กว่าจะได้เดบิวต์
- ตื่นเต้นและแอบกดดัน เป็นบอยกรุ๊ปเบอร์แรกค่าย GNEST ในเครือแกรมมี่
- 5 คน 5 คาแรกเตอร์ แม้นิสัยและตัวตนจะแตกต่าง แต่อยู่ด้วยกันแล้วลงตัว
เป็นอีกหนึ่งสีสันวงการเพลง T-POP ในเวลานี้ สำหรับบอยกรุ๊ปคลื่นลูกใหม่ PERSES (เพอร์เซส) ศิลปินจากค่าย GNEST ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ประกอบไปด้วย 5 สมาชิก จั๋ง วิกร บูรณภิญโญ (Leader / Main Rapper), เน ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์ (Visual Rapper), กฤติน สอสูงเนิน (Main Vocal), ปาล์ม พีรวิชญ์ พินธะ (Main Dancer) และ ปลั๊กกี้ ธรากร คำสิงห์ (Main Vocal / Lead Dancer) น้องเล็กของวง โดยชื่อวง PERSES มาจากชื่อเทพเจ้ากรีก เป็นเทพแห่งการทำลายสิ่งเก่าเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ หรือ "The destroyer" จึงถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดเพื่อเริ่มต้นใหม่
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้ง 5 หนุ่มถึงที่มาที่ไปของการรวมตัว กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่าย ต้องเป็นศิลปินฝึกหัดมากว่า 2 ปี ก่อนจะเดบิวต์ด้วยผลงานเพลงแรก “MY TIME” เริ่มมีแฟนๆ ติดตามผลงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาจนถึงผลงานเพลงล่าสุด “น่ารักน้อยลงหน่อย” เพลงป๊อปสดใสพูดถึงความน่ารักของคนที่เรารัก จนอยากเก็บไว้เป็นของตัวเองคนเดียว ที่กำลังกวาดคะแนนหัวใจจากสาวๆ ไปเต็มๆ พร้อมทั้งพูดถึงนิสัยและตัวตนของทั้ง 5 หนุ่ม ที่แม้คาแรกเตอร์จะแตกต่าง แต่ทุกอย่างก็ลงตัวจริงๆ

...
กว่าจะมารวมตัว
เราถามถึงการรวมตัวของ 5 สมาชิกที่นับเป็นศิลปินบอยกรุ๊ปเบอร์แรกของ GNest เริ่มจากเนที่เล่าว่าตอนแรกรับงานถ่ายแบบ เล่นเอ็มวี โฆษณา พอทางค่าย GNest เปิดออดิชั่นก็เลยมาลองและเข้ามาเป็นเด็กฝึก จนได้มาเทรนเป็นศิลปิน ด้านปาล์มบอกว่าเริ่มมาจากความชอบเต้น แข่งเต้น และมีช่วงหนึ่งได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่มาเป็นแดนเซอร์ให้พี่ๆ ศิลปินแกรมมี่ ช่วงนั้นรู้สึกอิ่มใจเวลาไปแสดงบนเวทีและได้รับพลังกลับมา เลยรู้สึกว่าเราอยากเป็นศิลปินด้วย เพราะตั้งแต่เด็กชอบดูการเป็นศิลปินมากๆ ชอบฟังเพลงพี่เบิร์ด พอวันหนึ่งทางค่ายเปิดออดิชั่น ก็เลยลองมา สุดท้ายได้เป็นศิลปินจริงๆ
ด้านปลั๊กกี้เล่าว่าตั้งแต่เด็กมากๆ แม่เล่าให้ฟังว่าเป็นคนชอบร้องเพลง ชอบเต้น เวลาเปิดเพลงบนรถจะร้องตลอดและก็เต้นอยู่ตรงนั้น จริงๆ ค่อนข้างรู้ตัวเร็วว่าเราชอบเต้น ก็เลยอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก เริ่มเดินสายประกวด แต่เวทีที่คนเริ่มรู้จักตนน่าจะมาจากรายการ “The Voice Kids ซีซั่น 4” จะมีเพลงนึงที่เป็นไวรัลขึ้นมา หลังจากนั้นก็เดินสายประกวดร้องเต้นมาเรื่อยๆ อีกทั้งทำยูทูบด้วย พี่ทีมงานใน GNest เห็นพอดีเลยทักมาให้เราลองมาออดิชั่น ก็เลยตัดสินใจย้ายบ้านจากขอนแก่นมาอยู่กรุงเทพฯ เพราะออดิชั่นผ่าน
ส่วนกฤตินบอกว่าของตนก็คล้ายกับพี่เน คืออยู่โมเดลลิ่งเดียวกันกับพี่เนมาก่อน ที่ผ่านมาก็มีงานเอ็มวี ถ่ายแบบ หนังสั้นมาแล้ว แต่จริงๆ ชอบร้องเพลง อยากเป็นศิลปิน แต่ไม่มีโอกาสไปประกวด เคยลองไปประกวดเวทีหนึ่งแต่เฟลเพราะว่าช่วงนั้นร้องเพลงเพี้ยนเพราะยังไม่ได้ฝึกอะไรมาก แล้วเจอเด็กพูดกับแม่ว่าทำไมพี่เขาโตแล้วยังร้องเพลงเพี้ยนอยู่เลย ทำให้รู้สึกเฟลและไม่ประกวดอีกเพราะกลัวคำนินทา

แต่พอโตขึ้นได้มาอยู่โมเดลลิ่งและชอบร้องเพลงลงไอจี ทางค่ายเห็นแล้วก็ติดต่อทางโมเดลลิ่งว่าให้ลองมาออดิชั่นและผ่าน ถามว่ารู้จักกับเนมาก่อนไหม กฤตินบอกว่ารู้จักผ่านๆ เคยเห็นหน้าและรู้ว่าคนนี้ชื่อพี่เน แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอกันและอยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ เพราะต่างกันสุดขั้ว เนบอกว่าช่วงรับงานถ่ายแบบ แต่ละแบรนด์จะมีคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกัน ซึ่งเนกับกฤตินจะได้คนละแบรนด์ เลยไม่เคยเจอในงานถ่ายแบบเลย
ปิดท้ายที่จั๋งบอกว่าเมื่อก่อนเป็นเด็กกิจกรรม ชอบเล่นดนตรี พ่อพาไปเรียนเปียโน เป็นงานอดิเรกตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งถึงช่วงมหาวิทยาลัยก็มีค่าย MBO มาชวนออดิชั่นเป็นศิลปินในค่าย เขาก็ให้เราร้องเพลง ลองเต้น ตอนนั้นไม่ค่อยมั่นใจ เพราะเคยโดนคล้ายๆ กับกฤติน คือเมื่อก่อนเวลาร้องเพลงเพื่อนบอกว่าเสียงเหมือนหมาปัสสาวะรดสังกะสี เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองด้วย แต่ค่ายน่าจะเห็นอะไรบางอย่าง ก็เลยได้มาอยู่ MBO ก่อน และเทรน 6 เดือน แต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีโปรเจกต์ใหม่ แล้วพอมี GNest เปิดขึ้นมา ทาง MBO เลยส่งให้มาออดิชั่นและผ่านเข้ามาเป็น Trainee จนมาเป็นสมาชิกวง PERSES
ชีวิตศิลปินฝึกหัด
ในช่วงที่เป็นศิลปินฝึกหัดของ GNest ปลั๊กกี้เล่าว่านอกจากพวกเขา 5 คนแล้วยังมีเพื่อนศิลปินฝึกหัดรวมกันแล้ว 20 กว่าคน โดยจะเทรนรวมกันและมีการประเมินทุกเดือน และประเมินครั้งใหญ่ทุก 3 เดือนเพื่อคัดออก อย่างพวกเรา 4 คน ปลั๊กกี้, กฤติน, เน, จั๋ง จะเห็นกันมาก่อนอยู่แล้ว และมีปาล์มตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ตอนที่เทรนก็ยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง แค่เทรนให้ตัวเองไม่โดนคัดออก พอถึงช่วงเวลาหนึ่งพี่ๆ ที่ค่ายบอกว่าจะมารวมกลุ่มกัน ตอนแรกเป็น 4 คนก่อน พอรวมแล้วรู้สึกว่าต้องมีอีกคนเพิ่มดีกว่า จึงมีปาล์มเข้ามา
ด้านจั๋งเล่าบ้างว่า ตอนแรกที่รวมกัน 20 คนเหมือนต่างคนต่างที่มา เวลาอยู่รวมกันจะแบ่งกลุ่ม เอาจริงๆ ทั้ง 5 คนก่อนหน้านี้แยกกันอยู่คนละกลุ่มหมดเลย พอคัดออกเรื่อยๆ กลุ่มก็เริ่มแคบลงมาเรื่อยๆ รวมถึงน้องทิกเกอร์ (อชิระ เทริโอ) ก็ได้มาเจอกัน จนสุดท้ายก็เหลือเท่านี้และก็มีน้องทิกเกอร์ ปลั๊กกี้พูดต่อว่า “ผมรู้สึกว่าบรรยากาศตอนที่พวกเราเป็นเด็กฝึกรู้สึกว่าค่อนข้างโอเคเลยครับ ทุกคนช่วยเหลือกันตลอดเวลา ไม่มีใครรู้สึกว่าฉันจะต้องเอาชนะใคร มันฝึกด้วยกันมาตั้งแต่แรก ก็อยากให้ทุกคนผ่านเป็นศิลปินด้วยกัน เวลามีสอบก็จะช่วยกันตลอด พวกเรามีการบ้านเต้น การบ้านร้อง ก็จะช่วยกันทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”
...
พอผ่านการเทรนและประเมินจนเหลือสมาชิก 5 คน ถามว่าตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง กฤตินบอกว่า พอเราเทรนมาด้วยกันตั้งแต่แรกก็พอจะเข้าใจนิสัยแต่ละคนอยู่แล้ว พอมาอยู่ด้วยกันก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนกันที่เราได้ทำงานร่วมกัน จั๋งเสริมว่า “มีช่วงหนึ่งก่อนที่เราจะเดบิวต์ เราต้องเทสต์พร้อมกัน 5 คน ดูเคมีแต่ละคนเข้ากันไหม มีอะไรที่แตกต่างกันไหม มีช่วงนั้นที่ต้องเข้าตึกทุกวัน เลยคิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่พวกเราได้เจอกันบ่อยๆ และทำให้รู้ใจกันมากขึ้นครับ”

ในช่วงที่เป็นศิลปินฝึกหัดกว่า 2 ปี ถามว่านานไหม กฤตินบอกว่าไม่ได้นานมาก บางคนฝึก 5 ปี 10 ปีก็มี จั๋งบอกว่าทุกวันนี้ก็ยังฝึกอยู่ ส่วนวันที่รู้ตัวแล้วว่าจะได้เดบิวต์ มีซิงเกิลเพลงแรก ถามว่าเป็นยังไงบ้าง ปลั๊กกี้บอกว่า “ผมแอบกดดันนิดนึงเพราะว่าเป็นวงแรกของค่าย GNest ด้วย ตอนนั้นที่เขาบอกว่าพวกเรารวมกัน 5 คนแล้วเดี๋ยวจะออกซิงเกิลนะ ผมก็ Oh my god มันก็ยังมีเพื่อนๆ ที่ฝึกมาด้วยกัน ผมรู้สึกว่าเราเหมือนเป็นใบเบิกทางให้ทุกคนดูว่าเราจะไปในเวย์ไหนกัน ก็ตื่นเต้นเพราะว่ามันฝึกมาสักพักนึงแล้วเรารอที่จะได้มีเพลงเป็นของตัวเอง อยู่บนเวทีไปร้องเพลงให้ทุกคนฟัง มีความสุขมาก”
...
ด้านปาล์มบอกว่า ก็รู้สึกตื่นเต้น ช่วงที่จะเดบิวต์ตอนนั้นยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร เพราะเข้ามาคนสุดท้ายด้วย ระยะเวลาการฝึกอาจจะน้อยกว่าเพื่อนนิดนึง แต่ผู้ใหญ่ก็ไว้ใจพวกเรา ก็เลยรู้สึกว่าต้องลองสักตั้ง ทำให้เต็มที่ จนวันที่เดบิวต์ มองภาพในวันนั้นก็รู้สึกภูมิใจว่าวันนี้มาถึงแล้ว
ศิลปินหน้าใหม่
เราถามถึงวันแรกที่กลายเป็นศิลปินน้องใหม่ ต้องไปออกงาน สัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ จั๋งบอกว่า “ช่วงแรกก็มีประหม่าจริงๆ แต่เราโชคดีที่ทางค่าย ทีมงานของแกรมมี่จะมีการเทสต์เรื่องการสัมภาษณ์ด้วย ให้ครูมาช่วยสอน ให้เราได้ลองโต้ตอบ ฝึกการสัมภาษณ์จริงๆ ก็ช่วยได้มาก ในช่วงแรกๆ ที่เราสัมภาษณ์ ได้ออกไปคุยกับคนดู แต่วันแรกก็เครียดมากๆ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ผมนอนน้อยมากในวันนั้น นอนไม่หลับ (ยิ้ม) คือเราล่กและคิดไปถึงอนาคตว่าถ้าจังหวะนี้ไม่ได้ล่ะ ถ้าเราพลาดตรงนี้จะเป็นยังไง เรารู้ว่าทีมงานทุกคนทำงานเหนื่อยด้วย เรา 5 คนก็เหนื่อยกันมา ทุกคนก็ทุ่มเทให้กับโปรเจกต์นี้จริงๆ เลยอยากให้เป๊ะที่สุดเท่าที่จะเป๊ะได้”
ปลั๊กกี้เล่าว่า “พอเป็นเพลงแรก (MY TIME) ช่วงก่อนถ่ายเอ็มวีเราซ้อมกันเยอะมาก แล้วเอ็มวีนี้ไปถ่ายที่เกาหลีด้วย พี่ๆ บอกว่าเคยทำงานกับเกาหลีมา เขาค่อนข้างดุนิดนึง เป๊ะๆ หน่อย เราก็ซ้อมหนักมาก พอบินไปถ่ายปุ๊บก็ผิดคาด ความเป๊ะยังอยู่ แต่ว่าเพิ่มความน่ารักของทุกคนเข้ามา ทีมงานเห็นเราน่าจะมีความเอ็นดู เขาน่ารักกับพวกเรามากครับ เอ็มวีถ่าย 2 วัน ตอนเต้นไม่เหนื่อยเลยครับ แต่พอกลับโรงแรมมาเดินแทบจะไม่ได้กันเลย เพราะว่าปวดขามาก เต้นเยอะมากจริงๆ ครับ”

...
ด้านกฤตินเล่าว่า ตอนที่ไปถ่ายทำซีนเข้าห้องเก็บเทปที่เขาสอดส่องเราเพื่อทำลายเทป ซึ่งในบรีฟเขาบอกให้แค่เข้าไปแล้วหยิบเทปขึ้นมาอันนึงแล้วดู และวางกลับที่เดิม ก็เล่นแบบนั้น 2-3 เทค เขายังไม่พอใจ ให้เล่นต่อไปเรื่อยๆ ไม่สั่งคัต ก็เลยหยิบขึ้นมาแล้วโยน เขาก็ไม่สั่งคัตอีก ก็ทำลายไปเรื่อยๆ จนเทปเริ่มกระจุยกระจายเต็มพื้น ทีมอาร์ตถึงกับเครียดเพราะเซตตั้งนาน แต่ผู้กำกับฯ ชอบ ก่อนที่ปลั๊กกี้จะเสริมว่าวันที่ไปถ่ายอากาศร้อนที่สุดในรอบปีของเกาหลี ร้อนเหมือนอยู่ไทย และถ่ายในโกดัง อากาศจะอบ ชุดหนาแถมต้องเต้นแรง เหงื่อออกเต็มไปหมด
พอถึงซิงเกิลที่ 2 “TOUCHDOWN (ใกล้ดาว)” ก็จะเบาลงนิดนึง ด้วยความเป็นเพลง Medium เต้นจะน้อยลง ส่วนใหญ่จะไปถ่ายในสนามกอล์ฟ วันนั้นแดดลงเต็มๆ ไหม้แดดสุดๆ แสงก็จ้ามาก ซึ่งยังดีที่ไม่ได้เต้น ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นลม แต่จะเหนื่อยลากบอลลูน เพราะในเอ็มวีเหมือนเรากำลังสร้างบอลลูนลูกหนึ่งขึ้นมา จะมีฉากลากบอลลูนมากางและตกแต่งบอลลูนของเรา แล้วลากมากลางแดดเมืองไทย ก็จะร้อนหน่อย จั๋งเสริมว่า แต่พอเพลงที่ 3 “Catch the Night” ก็จะเต้นเยอะมาก ตอนนั้นไปถ่ายโรงแรมร้างแถวเยาวราช ซึ่งปิดกิจการไปเป็น 10 ปี ถ่าย 24 ชม. ถ่ายตั้งแต่เช้าจนถึงเช้าอีกวัน แต่ก็ไม่ได้เจออะไรน่ากลัว

แม้จะเพิ่งอยู่บนเส้นทางวงการเพลงไม่นาน แต่ 5 หนุ่มก็มีแฟนๆ ที่ติดตามผลงานไม่น้อย กฤตินบอกว่ารู้สึกแฮปปี้มากๆ พอทำผลงานและมีคนสนับสนุน ตามให้กำลังใจเรา รู้สึกว่าเราได้รับสิ่งนี้ด้วย ไม่ได้หวังว่าคนจะตามเยอะ เหมือนเป็นเซอร์ไพรส์แต่ละวันว่ามีแฟนคลับมาตะโกนเรียกชื่อเรา ร้องเพลงตามเรา รู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำมา เวลาที่เสียไป มันคุ้มค่าหมดเลย มันเกินความคาดหมายไปเยอะมาก ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กฤตินบอกว่า “ผมน่าจะเจอเยอะสุด เพราะว่าด้วยความที่ผมเป็นคนโผงผาง เป็นคนเสียงดัง หน้าดุ ก็เสียใจครับ แต่ว่าเราก็ต้องรับให้ได้ เราก็คุยกับทุกคนว่าแบบนี้จะยังไงดี ทุกคนก็ช่วยหาทางแก้ สุดท้ายก็หาได้ ก็คิดให้เยอะๆ เวลาเราจะพูดอะไร ต้องดูว่าเอ๊ะ หน้าเราเป็นยังไงตอนนี้ครับ ต้องมีสติตลอดเวลาว่าเราจะแสดงออกแบบนี้ครับ”
ปลั๊กกี้เสริมว่า เรื่องคำวิจารณ์ส่วนมากจะไม่ค่อยเจออะไร มักจะเป็นคำวิจารณ์ทั่วไปที่เป็นปกติที่เกิดขึ้นได้ พอเรามาอยู่ข้างหน้าอาจจะมีคนที่ชอบผลงานเรา บางคนอาจจะไม่ชอบบ้าง พวกเรารับฟีดแบ็กมา ถ้าอันไหนที่เราปรับตัวปรับปรุงได้ก็ปรับให้มันดีขึ้น แต่ถ้าเราอ่านแล้วรู้สึกว่าคนนี้อาจจะเอาสะใจนิดนึงก็จะปล่อยผ่านไป ภูมิคุ้มกันสำหรับเรื่องนี้ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังมีคอมเมนต์บางอันที่อ่านแล้วยังรู้สึกนิดนึง ถ้าเอาจริงๆ ก็มีแอบนอยด์บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร คนเราต้องพัฒนาปรับปรุงตัวเอง อันไหนไม่ดีจริงๆ ก็ยอมรับ อันไหนทำให้ดีขึ้นได้ก็ทำอยู่แล้ว
น่ารักน้อยลงหน่อย
สำหรับการทำงานซิงเกิลเพลงที่ 4 “น่ารักน้อยลงหน่อย” จั๋งเล่าว่าในพาร์ตของเพลงได้พี่ปณต Getsunova เป็น Executive Producer และทำเดโมมาให้ฟังก่อน ที่พวกเราเลือกเพลงนี้เพราะเป็นเพลงที่มีแมสเซจชัดเจน และส่งไปถึงแฟนคลับเราได้ หลังจากนั้นก็ทำเรื่องคอนเซปต์ เอ็มวี สื่อไปว่าช่วยน่ารักน้อยลงหน่อยได้ไหม เพราะถ้าน่ารักกว่านี้จะห้ามใจไม่ไหว เรื่องการมีส่วนร่วม ส่วนใหญ่จะปรับเรื่องท่อนฮุคให้เต้นง่ายขึ้น เพราะช่วงนี้ส่วนใหญ่คนเต้นตามใน TikTok เราก็ทำให้เต้นตามกันได้ เพราะ 3 ซิงเกิลที่ผ่านมา ท่าเต้นวงเราก็เต้นยากเหมือนกัน เลยปรับให้เต้นง่ายขึ้น
อีกทั้งจั๋งเขียนท่อนแร็ปเพิ่มในช่วง Verse 2 เพราะตอนแรกฟังเดโมกันแล้วรู้สึกว่าอยากให้มีท่อนที่สนุกขึ้น สื่อสารได้มากกว่าเดิม พี่ปณตเลยให้ลองแต่งแร็ปมาดูและให้สตอรี่ไลน์มาให้เราไปขยายความเองว่าอยากพูดถึงอะไร ถามว่ายากไหม จั๋งบอกว่า “กลางๆ ครับ ผมเขียนแร็ปมาอยู่แล้วด้วย ทุกคนเรียนแร็ปกันหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็พัฒนาสกิลเรื่อยๆ มันก็ลิงก์กับชีวิตวัยเด็กเราสมัยปั๊บปี้เลิฟ (ยิ้ม)”

ส่วนการมีส่วนร่วมในมิวสิกวิดีโอ เนบอกว่าก็จะเป็นเรื่องสไตลิสต์ แต่ละคนจะส่งแบบทรงผมที่อยากทำให้พี่ๆ ทีมงานดู และให้พี่ๆ ช่วยดูว่ามันเหมาะไหม ก็เลยได้ทรงนี้มา อย่างปลั๊กกี้ก็จะได้สีแดง คอนเซปต์เอ็มวีทางครีเอทีฟของค่ายจะคิดมา แต่พวกเราแค่มาเพิ่มเติมเฉยๆ ว่าถ้ามีตรงนั้นตรงนี้เพิ่มมาก็จะดี ด้านกระแสตอบรับ หลังปล่อยไปไม่กี่วันก็มียอดวิวหลายแสนวิวแล้ว กฤตินบอกว่าดีใจ เพราะยอดวิวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คอมเมนต์เป็นไปในทางที่ทำให้ชื่นใจ คนก็ชมว่าเพลงเข้าใจง่าย เราก็ตั้งใจทำเพลงนี้ออกมาให้สื่อสารให้คนฟังได้รับไปเต็มๆ คิดว่าเนื้อหาเพลงนี้ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกคนอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องเคยแอบชอบใครสักคน น่ารักให้น้อยลงหน่อย กลัวห้ามใจไม่ไหว
ปลั๊กกี้บอกว่าพอท่าเต้นเพลงง่ายขึ้น ก็อยากให้ทุกคนไปเต้นกันด้วยใน #Cuteless_Challenge ใน TikTok ด้วย ใครเต้นไม่เป็น ลองไปดูในคลิปที่สอนเต้นได้ ซึ่งในวงนี้คนที่เต้นแรงสุดคือกฤติน เพราะเป็นคนชอบใช้แรงเยอะในการทำกิจกรรม ส่วนคนที่เต้นกว้างสุดคือปลั๊กกี้ ปลั๊กกี้รีบบอกว่ากลัวคนข้างหลังไม่เห็นเลยเต้นเผื่อ นอกจากนี้ ปลั๊กกี้บอกว่าจะมีแพลนทำอัลบั้มเร็วๆ นี้ แต่จะมีกี่เพลงอันนี้ไม่แน่ใจ น่าจะได้เห็นภายในปีนี้ อาจจะเป็นไตรมาสที่ 3-4 ต้องรอทางค่ายอีกที
5 คน 5 คาแรกเตอร์
จากนั้นเราให้ทั้ง 5 คนได้พูดถึงคาแรกเตอร์ตัวเองกันบ้าง เริ่มที่เนบอกว่า “สิ่งที่รู้สึกกับตัวเองคือเป็นคนค่อนข้างเงียบ จะคุยเฉพาะเรื่องที่เราสนใจ ถ้าเรื่องไหนที่เราไม่ได้มีประสบการณ์ หรือความรู้กับมันมากนัก เราก็จะชอบฟังคนอื่นคุยกันมากกว่า เป็นผู้ฟังที่ดี” ปลั๊กกี้เสริมว่า “ผมรู้สึกว่าพี่เนเป็นความหมายของคำว่า Introvert ประมาณหนึ่ง ไม่ได้ตัดขาดออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง เขามีโลกส่วนตัว แต่เวลาอยู่กับคนอื่น เขาสามารถคุยกับคนอื่นได้ อย่างพี่เนจะสนใจเรื่องหนังสือ หนัง เกม ถ้าใครโปรเรื่องนี้ก็จะคุยกับพี่เนรู้เรื่องหน่อย”
จั๋งแซวว่าสังเกตได้จากตาของเขา จากคนพูดไม่เก่งก็จะพูดเก่งทันที ปลั๊กกี้เสริมอีกว่า พี่เนจะติสต์ๆ นิดนึง จั๋งพูดอีกว่า เขามีมุมมองสิ่งต่างๆ ที่ต่างจากพวกเรา 4 คน บางทีเราไม่ได้คิดว่ามีมุมแบบนี้ด้วย ด้วยความที่เขาอ่านหนังสือเยอะ เลยอาจมีวิธีการคิดที่ต่างไป ปลั๊กกี้เสริมว่าพี่เนเป็นคนเอาใจใส่ ดูแลแบบห่างๆ บางทีก็เห็นพี่จั๋งไม่ว่าง ก็เอาคลิปไปตัดต่อให้ ซึ่งจั๋งก็บอกว่า “ผมก็ด้วยความเป็นคนดี ก็ฝากเขาไป” งานนี้ทั้งวงหัวเราะดังลั่น

ด้านปาล์มมองตัวเองว่า เป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง ส่วนใหญ่ยิ้มแทนคำพูดมากกว่า เป็นคนชอบยิ้มตั้งแต่เด็ก ที่บ้านสอนว่าถ้าเราเจออะไร จะเป็นเรื่องมีความสุขหรือเรื่องที่ไม่ดี ก็ให้ยิ้มสู้ไว้ก่อน จากนั้นจั๋งบอกว่า ตั้งแต่รู้จักเขามาตั้งแต่ฟอร์มวง เป็นคนยิ้มเรี่ยราด ทำเอาเพื่อนๆ หัวเราะลั่น จั๋งพูดต่อว่า ยิ้มให้ทุกเรื่อง บางทีโดนคอมเมนต์หนักๆ มาก็ยิ้มไว้ก่อน เหมือนเป็นฟอร์มของเขา ยิ้มรับปุ๊บ ทุกอย่างมันจะดีขึ้น และคนรอบข้างรู้สึกดีไปด้วย ส่วนปลั๊กกี้บอกว่าปาล์มเป็นคนคิดบวกแทบทุกเรื่อง เวลามีปัญหาแล้วคุยกับเขา เขาก็ตอบในแง่บวก พอเราได้รับพลังบวกจากปาล์มก็ทำให้เราดีขึ้นได้ด้วยคำพูดและรอยยิ้มของเขา
จากนั้นปลั๊กกี้พูดถึงตัวเองบ้างว่า มองตัวเองเป็นคนสดใส ไม่ค่อยชอบอยู่ในที่มืดๆ เป็นคนอะเลิร์ท แล้วแต่วัน ถ้าสมมติวันไหนเหนื่อยๆ จะเหี่ยวไปเลย ปรับตัวตามสภาพอากาศเมืองไทยนิดนึง (ยิ้ม) เจอแดดร้อนก็เหนื่อย แต่พอกลางคืนจะคึกเพราะแดดไปแล้ว ด้านกฤตินบอกว่าเขาน่ารักสดใสตามวัย สดใสบ้างเศร้าบ้าง สวิงบ้าง แต่เป็นคนจิตใจดี เป็นที่ปรึกษาที่ดี ตามน้ำเก่ง ไม่ได้คิดลบมาก

จั๋งเสริมว่า ปลั๊กกี้เป็นคนมีมายด์เซตที่โตกว่าวัย ไม่รู้เป็นเพราะเขาประกวดมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า แต่เวลาทำงานค่อนข้างเป็นงาน ทำงานด้วยแล้วมันง่าย ทุกอย่างมันโฟลว์ไปหมด รู้ว่าต้องทำอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับอากาศที่ไทยด้วย ด้านปาล์มบอกว่า คิดว่าปลั๊กกี้เป็นจุดที่ทำให้พวกเราสนิทกัน เพราะปลั๊กกี้เป็นคนเฟรนด์ลี่มากๆ เข้าหาคน ซึ่งจะมีช่วงแรกที่พวกเรายังไม่ค่อยสนิทกันมาก แล้วผมเพิ่งเข้ามา ผมเรียนคลาสคู่กับปลั๊กกี้ ปลั๊กกี้ก็จะพาผมให้รู้จักทุกคน ทำให้รู้จักและสนิทกันมากขึ้น
มาถึงกฤตินพูดถึงตัวเองบ้าง เขามองตัวเองว่าเป็นคนพูดมาก ชอบคุยกับคนที่เราอยากรู้จัก คุยกับคนที่สนิทด้วย เป็นคนมีกำแพงสูง อะเลิร์ทตลอดเวลา ไม่อยู่กับที่ วันๆ จะไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง ถ้าว่างก็จะหาเพื่อน เป็นคนชอบทำกิจกรรม ด้านจั๋งบอกว่า กฤตินคือนิยามคำว่าพัง คือพังข้าวของ เป็นนิยามของคำว่าเอนเนอร์จี้ ไม่ว่าไปที่ไหนสถานการณ์ไหนก็จะมีเอนเนอร์จี้ แต่วันไหนที่เหนื่อยมากจริงๆ หรือบางวันไม่สบาย แต่พอทำงานจริงๆ ก็มีเอนเนอร์จี้ เป็นมืออาชีพ

ปลั๊กกี้ได้ทีขอเม้าท์ว่า “เป็นคนพูดเยอะอันนี้จริงเลย ตอนที่เราไปทริปทำงานที่สิงคโปร์ ครั้งนั้นผมรู้เลยว่าพี่กฤติเป็นคนพูดเยอะจริงๆ เพราะตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน พี่กฤติจะงีบนิดนึง แล้วหลังจากนั้นผมไม่เคยไม่ได้ยินเสียงพี่กฤติอีกเลย พูดตั้งแต่ลงเครื่องจนถึงนอนเพราะอยู่ห้องเดียวกัน และมีเอนเนอร์จี้ดีดอยู่ตลอดเวลา” กฤตินเสริมว่า “ขนาดตอนปลั๊กกี้หลับ ผมนั่งเล่นโทรศัพท์แป๊บนึงก็เห็นปลั๊กกี้หันหลังไปแล้ว ก็ถามว่าปลั๊กกี้หลับยังอะ มันก็ตื่นมาเพื่อผม (หัวเราะ)”
ปิดท้ายที่จั๋งที่พูดถึงตัวเองว่า “ผมเป็นคนที่ปรับตัวได้กับทุกที่ ไม่ว่าจะคุยกับใครก็จะเปลี่ยนให้เหมาะกับแต่ละที่ เป็นคนใจเย็นใจดีประมาณนึง แต่ว่าช่วงหลังๆ เริ่มร้อนง่าย (หัวเราะ) ถ้ามีอะไรเข้ามาผมจะมีมายด์เซตว่าเราจะรับอะไรด้วย Positive Energy ก่อน ทุกอย่างจะดีตามไปเอง เป็นคนมีเป้าหมายชัดเจนครับ” ด้านกฤตินเสริมว่า “เขามีความเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผลกับทุกเรื่อง ก็ดีที่ทำให้ผมโอเคขึ้นครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนใจร้อน พี่จั๋งเป็นคนใจเย็น แต่ที่พี่จั๋งบอกว่าเขาใจร้อนขึ้น อาจจะเพราะผมใส่ให้พี่จั๋งไปนิดนึง (ยิ้ม)”
ฝากถึงแฟนๆ
ปิดท้ายเราให้ทุกคนได้พูดถึงแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน ซึ่งจั๋งบอกว่า “สำหรับผม ผมมีคำเดียวเลยว่าขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งมาเจอเราก็ตาม หรืออยู่กับเราตั้งแต่แรก รู้ว่าการที่คนคนนึงจะเอาแรงตัวเองมาเชียร์หรือให้กำลังใจ ให้ความสนใจสนับสนุนศิลปินสักคน ผมว่าเป็นเรื่องยากมากครับ มันต้องใช้ความรักจริงๆ เขาทุ่มเทกับเรามากๆ จนบางทีเราก็เกรงใจ รู้สึกว่าเรายิ่งต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อแทนคำขอบคุณจากเราไปถึงแฟนคลับครับ”
ด้านกฤตินบอกว่า “ก็ขอบคุณทุกคนที่รับพวกเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตครับ ขอบคุณที่มาให้กำลังใจกัน ร้องเพลงด้วยกัน สนุกด้วยกัน มีคนแท็กสตอรี่มาแล้วบอกว่าจริงๆ วันนี้เขาเศร้ามากเลย แต่แค่ได้เห็นพวกเรา ฟังเพลงพวกเรา เขาก็รู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุขเลย แต่พอได้มาเจอเรา เขารู้สึกว่าเราเหมือนแสงสว่างให้เขาสดใสขึ้นอีกครั้ง เราก็โห...ขนาดนี้เลยเหรอ รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เป็นความสุขของใครคนนึงที่เรายังไม่รู้จักกัน แต่รู้สึกดีมากๆ ที่เขาชอบผลงานของเราและสนับสนุนเราครับ”
ปลั๊กกี้ฝากถึงแฟนๆ บ้าง “จริงๆ แฟนคลับจะชอบบอกพวกเราว่าบางทีเขามีวันแย่ๆ เขาไม่มีใคร เขายังมีพวกเรา ก็เหมือนกันกับพวกเรา คือในทุกผลงาน ทุกอย่างที่เราทำออกไปเพื่อให้ทุกคนชอบ มีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อไป ผมคิดว่าถ้าเราเป็นแรงไดร์ฟให้เขา เขาก็เป็นแรงไดร์ฟให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ถ้าเราพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครเฝ้าดูการเติบโตของเรา หรือซัพพอร์ตจริงๆ เราก็อาจจะนอยด์ แต่ตอนนี้เรารู้ว่ามีคนอยู่ข้างๆ ซัพพอร์ตเรา ก็อยากให้เขาดีใจไปด้วยกันกับพวกเราในทุกก้าวครับ”

ส่วนปาล์มบอกว่า “ผมคิดว่าเหมือนเป็นครอบครัวครับ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ พวกเราอยู่ด้วยกันมานานมาก โตกันมาเรื่อยๆ มันผูกพันกันมากๆ รู้สึกต้องขอบคุณเขามากๆ ที่ทำให้ทุกวันของพวกเรามีความสุขเหมือนกัน ดีใจเหมือนกันที่เราทำให้ทุกวันของเขามีความสุขเหมือนกันครับ ไม่รู้จะพูดกับเขาว่ายังไงนอกจากคำว่ารักมากๆ ครับ ขอบคุณที่ซัพพอร์ตพวกเรา เราทำทุกผลงาน พวกเราซ้อมเต็มที่มากๆ อยากให้ทุกคนที่มาหาเราสนุกไปกับพวกเรา สนุกไปกับโชว์ครับ”
ปิดท้ายที่เนบอกว่า “สำหรับผม แฟนคลับทุกคนเป็นพลัง เป็นกำลังใจให้เราคอยพัฒนาตัวเอง พยายามที่จะผลิตผลงานที่ดีออกมาให้เขาได้ชื่นชมกับมัน พอเราได้เห็นเขามีความสุขกับผลงาน กับแมสเซจที่เราต้องการจะถ่ายทอดให้เขาได้ฟัง เราก็ประทับใจกับสิ่งที่คุณรู้สึก สิ่งที่คุณคอยซัพพอร์ตเราตลอดมา ทั้งข้อความที่แท็กหรือส่งมา จดหมายที่ทุกคนเขียนมาให้ พออ่านแล้วทำให้เรามีกำลังใจ มีแรงที่จะออกไปซ้อมทุกวันจริงๆ ครับ”.
ผู้เขียน : Penguin บินได้
ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี
กราฟิก : Varanya Phae-araya
ขอขอบคุณ แหล่งที่มา : thairath
บันเทิง















ความคิดเห็น