บันเทิง

- ตอบ
โพสต์ต้นฉบับ
ชื่อ: ดีเจภูมิ เล่าช่วงวัยเด็ก เผยจุดแย่สุดในชีวิต เป็นแผลติดตัว กลัวสังคมรังเกียจ
ดีเจภูมิ เล่าช่วงวัยเด็ก เผยจุดแย่สุดในชีวิต เป็นแผลติดตัว กลัวสังคมรังเกียจ

เป็นอีกหนึ่งเจ้าพ่อคอนเทนต์ขวัญใจลูกเผ่า สำหรับหัวหน้าเผ่าอย่าง ดีเจภูมิ ภูมิใจ ตั้งสง่า เจ้าของช่องยูทูบ DJ Poom ที่ไม่ว่าจะทำคลิปอะไรออกมา ก็ได้รับความสนใจจากแฟนๆ เป็นอย่างมาก

ล่าสุด ดีเจภูมิ ออกมาเล่าประสบการณ์ชีวิตแต่ละช่วงอายุ ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง ในรายการ “Level up” EP.15 ทางยูทูบ Thairath Online Originals โดยมี มิ้นท์ อรชพร เป็นผู้ดำเนินรายการ

และบางช่วงบางตอนของรายการ ดีเจภูมิ ได้เผยชีวิตช่วงวัยเด็ก ถึงเหตุการณ์ที่รู้สึกแย่สุดในชีวิตว่า "ชีวิตวัยเด็กคือคนละคนกับตอนนี้เลย เบื้องลึกของดีเจภูมิกับสิ่งที่เห็นตอนนี้มันเป็นคนละคนกัน ตอนเด็กเราเป็นเด็กเนอส เป็นเด็กอ้วนที่เติบโตจากครอบครัวที่อบอุ่นมาก และเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเท่าไหร่

เราเป็นเด็กที่ติดอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นยุคที่ไม่มีเทคโนโลยี สิ่งเดียวที่เราสามารถเล่นด้วยได้นั่นคือการปีนต้นไม้ ยิงนก ตกปลา ก็จะเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ ทำได้ พอ 7 ขวบ เราก็ย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย หลังจากนั้นเราก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษตอนอายุ 11 ปี จนเรียนจบที่นั่นถึงย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทย

ชีวิตในตอนนั้นเราไม่ได้คิดเยอะและไม่ได้กังวลอะไร เพราะมันไปกันทั้งครอบครัว ในวัยนั้นเราไปอยู่ที่ไหนก็ได้ถ้ามันมีพ่อกับแม่และพี่น้อง ซึ่งเราก็ไม่ได้กังวลอะไรมากในวัยนั้น 7 ขวบ เราเป็นเด็กไม่ได้มีกำแพง ไม่ต้องมาพิสูจน์หรือต้องเป็นที่ยอมอะไร เพราะฉะนั้นการย้ายไปต่างประเทศถือว่าสบายมาก ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่เรามีความทุกข์หรือเศร้าเลย

ซึ่งคุณแม่มีความฝันตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้วว่าในวัยนั้นเค้าอยากจะเป็นแม่ของมนุษย์คนหนึ่ง อยากจะเป็นแม่ของลูกสักคนนึง เค้าก็เหมือนเตรียมพร้อมตัวเอง เรียกว่าชีวิตต้นทุนมาดี ครอบครัวก็อบอุ่น เราก็อยู่สุขสบาย ไปไหนเราก็มีคนคอยซัพพอร์ต

ส่วนเรื่องที่แย่สุดและเสียใจมากที่สุดในวัยนั้น ซึ่งเราเป็นประสาทแดกอยู่ช่วงหนึ่ง หรือมันอาจจะเป็นจิตปรุงแต่งของความกลัว จำได้ว่าในวัยนั้นประมาณ 8-9 ขวบ ที่เราอยู่ออสเตรเลีย และเราเป็นโรคผิวหนังรู้สึกว่าจะชื่อโรคเอ็กซ์ม่า ซึ่งทุกวันนี้เรายังเป็นอยู่เลย ยังมีแผลเป็นติดตัวอยู่ตามข้อศอก ข้อมือ หัวเข่า และขา ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีแผลเก่าๆ อยู่ แต่ตอนนี้ก็เริ่มหายไปเยอะแล้ว ซึ่งมันก็เป็นจ้ำๆ อยู่ตามตัวเรานั่นแหละ เหมือนขี้กาก 

จำได้ว่าไม่กล้าไปเรียนพละ ไม่กล้าว่ายน้ำ กลัวว่ามันจะน่าเกลียด เราก็ไม่อยากโดนรังเกียจ ก็จะพยายามหนีวิชาพละและว่ายน้ำ เวลายืนก็จะยืนบิดเพื่อปิดรอยแผล ซึ่งตอนนั้นเรายอมรับว่าเป็นทุกข์ ร้องห่มร้องไห้บอกแม่ว่าไม่อยากเรียนแล้ว และจำได้ว่าคุณย่าก็จะใช้วิถีไทยมาช่วยเรา

ตอนนั้นคุณย่าไปทำบุญที่เมืองไทย 100 วัด และเก็บสะสมน้ำมนต์ส่งมาให้ เพื่อให้เราทาและบอกเราว่าเป็นน้ำวิเศษ 100 วัด บอกเราว่าศักดิ์สิทธิ์มาก บอกว่าเป็นน้ำมนต์ที่ย่าสวดมาอย่างดี ทาแล้วมีพลังงานบังตาได้ไม่มีใครเห็นแผล เอาไสยศาสตร์ใส่สมอง เราก็เลยพรมๆ ตามตัว แล้วก็สาธุ 3 จบ คิดว่าคงไม่มีใครเห็น

แต่เรื่องของเรื่องคงไม่มีใครสนใจหรอก เด็กคนนึงมีแผลเป็นที่ขานิดหน่อยมันไม่มีใครมอง ไม่มีใครมาสนใจอยู่แล้ว แต่เราก็คิดว่ามันโคตรศักดิ์สิทธิ์เลย ไม่มีใครมองเลย ซึ่งก็ไม่มีใครสนใจ ตอนนั้นยอมรับว่าปัญหาในชีวิตน้อยมาก"

 

 

 

 
 
 

 

 

 

ขอบคุณแหล่งที่มา :  thairath