บันเทิง

- ตอบ
โพสต์ต้นฉบับ
ชื่อ: อายุ 30+ ยังไม่เรียกแก่ "แอริน" มองคนอื่นอย่างเข้าใจ ไม่ต้องแคร์ใครทั้งโลก
อายุ 30+ ยังไม่เรียกแก่ "แอริน" มองคนอื่นอย่างเข้าใจ ไม่ต้องแคร์ใครทั้งโลก

ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็ต้องไม่หยุดสวย และหมั่นดูแลตัวเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับนักแสดงสาว แอริน ยุกตะทัต ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณแม่ป้ายแดงไปแล้วเรียบร้อย แต่ยังไม่ปล่อยตัวเองให้ดูโทรม

ล่าสุด แอริน ยุกตะทัต ออกมาถ่ายทอดประสบการณ์ในอดีต ในรายการ Sisterhood EP.1 "ไม่มีใคร..ไม่กลัวแก่ แต่จะแก่อย่างไรให้มีความสุข" ทางช่องยูทูบ Mirror Thailand พร้อมเผยมุมมองการใช้ชีวิตในวัย30+ ให้มีความสุข โดยมี แนท ธนวลัย วัชรพล เป็นผู้ก่อตั้ง และพิธีกรดำเนินรายการ

"แอรินในวันนี้แตกต่างจากอดีต เพราะไม่ใช่คนนี้เลย และไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นคนคนนี้ได้ในวันหนึ่ง คือทุกวันนี้เป็นเวอร์ชันที่เราอยากจะเป็น แต่ถ้าย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วเราเคยคิดว่าจะใจเย็นได้เหรอ จะใช้ชีวิตแบบนี้ได้เหรอ จะมีครอบครัวได้เหรอ จะท้องเหรอ จะมีสามีได้เหรอ

แต่พอมาถึงจุดนี้ที่มาเป็นในสิ่งที่เราเคยฝัน เรารู้สึกดีเพราะเราเป็นคนไม่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถทำอะไรได้ ซึ่งเราก็คิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่ได้ ทำอะไรเหมือนคนอื่นได้ ฉันก็มีชีวิตที่ดีได้ก็รู้สึกภูมิใจ แต่หลังจากนี้มันจะยากขึ้นที่ว่าพอถึงวันที่เราผ่านความฝันนั้นมาได้ เราจะทำเป้าหมายให้มันได้ไกลกว่านั้นได้ยังไง เพราะตอนนั้นเราก็คงรู้แล้ว เพราะเราได้สิ่งที่เราฝันมาแล้วแต่เราจะฝันอะไรต่อ

30+ ไม่เรียกว่าแก่ เรายังเป็นคนเดิม

มุมมองความคิดเมื่อก่อนสำหรับเราอายุ 30 คือเรียกว่าแก่ มันอาจจะไม่ได้แก่แต่ว่าคุณต้องรู้แล้วว่าชีวิตต้องมีอะไร คุณต้องวางแผน คุณต้องมีครอบครัว มีการงานที่ดี มีการเงินที่ดี ตอนนั้นรู้สึกว่าอายุ 30 คือแก่แล้ว 30 คือแก่มาก

แต่พอมันผ่านช่วงเวลานั้นมาเราไม่คิดเลยว่าอายุ 30 มันจะแก่ เพราะเรารู้สึกว่าเหมือนเดิม รู้สึกว่าเราเพิ่งอยู่ไฮสคูลวันก่อนเอง ก็ยังเป็นคนๆ เดิมอยู่ มันยังไม่มีอะไรที่เราต้องคาดหวัง เหมือนตอนเรามอง 30 ในวันนั้นก็เลยรู้สึกว่าเจนใหม่ในยุคนี้มันแก่ช้าลง เพราะเรารู้สึกว่าเราโตมากับพี่ๆ ทุกคนที่เราคิดว่าแก่ แต่เขาก็ยังเหมือนเดิมอยู่ ซึ่งมันมีหลายปัจจัยมากกว่านั้น ไม่ใช่แค่อายุและไม่ใช่แค่สิ่งนอกกายด้วย

เรารู้สึกว่าตัวเองโตหรือแก่ตอนอายุประมาณ 30 คือเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเราเปลี่ยน ไม่สามารถปาร์ตี้ได้เหมือนแต่ก่อน เริ่มปวดหลัง เริ่มไม่ชอบออกไปข้างนอก ชอบอยู่บ้านอาจจะเป็นช่วงโควิดด้วย ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณ 31 ตอนนั้นเราเริ่มจะมีความสุขกับการที่เราไม่ต้องออกไปข้างนอก รู้สึกว่าเราชอบอยู่เงียบๆ ฉันไม่อยากคุยโทรศัพท์ แต่เมื่อก่อนคือคุยโทรศัพท์กับเพื่อนเมาท์กันเป็นชั่วโมง แต่ตอนนั้นเราเคยชอบความสงบจากคนที่ออกไปเที่ยวตลอด อยู่คนเดียวไม่ได้ใครไปงานที่ไหนปาร์ตี้ที่ไหนฉันต้องอยู่

แต่พออายุ 30 มันทำให้เราคิดทบทวนแล้วว่าอะไรสำคัญมากกว่า และที่สำคัญเลยไม่ค่อยแคร์อะไรเลย ไม่ใช่ไม่สนใจแต่ว่าเราสนใจตัวเองมากกว่า แคร์ความรู้สึกตัวเองมากกว่าและอีกไม่กี่คนในชีวิตเรา ใครจะคิดอะไรหรือคนนอกจะว่าอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป

เบื่อการใส่หน้ากาก แคร์แค่คนที่แคร์เรา

เมื่อก่อนใครพูดอะไรมานิดๆ หน่อยๆ หรือแซวอะไรเรางอนเป็นเรื่องเป็นราว อาจเป็นเพราะเราไม่มีความสุขกับตัวเราเอง คือเราไม่รู้จุดยืนของตัวเราเองว่าเราต้องเป็นอะไรและพอใครมาพูดอะไรที่มันจี้นิดๆ หน่อยๆ เราก็เริ่มรู้สึกไม่โอเคขึ้นมา เพราะเราไม่มีความสุขกับตัวเราเองมากกว่า มันเป็นอารมณ์มากกว่าไม่ใช่เพราะช่วงอายุหรืออะไรมันมีหลายปัจจัย

ในชีวิตที่เรารู้สึกว่าแค่นี้ก็พอแล้วอยู่กันสองคนกับสามี กับหมาอีกสองตัวก็มีความสุขแล้ว ไม่เห็นต้องการออกไปเที่ยวเยอะแยะอะไรมากมาย ต้องไปเจอคนต้องไปเทคแคร์คนอื่นทำไมหรือต้องไปปั้นหน้าอะไรแบบนี้

และสิ่งที่ไม่ชอบเลยอันนี้อาจจะฟังดูแย่ อย่างเช่นเราไปงานอีเวนต์เจอคนมากมาย เจอเขาถามว่าคุณเป็นยังไงบ้าง ลึกๆ เขาถามเพื่อเป็นมารยาท มันเป็นวงการที่ใส่หน้ากาก สุดท้ายถ้าเราแคร์จริงๆ เราไม่ต้องออกไปเจอเขาหรอก เราโทรคุยโทรหามันมีวิธีอีกหลายอย่างที่เราจะคุยกับเขา สำหรับคนที่เราแคร์จริงๆ

บางครั้งมันก็เหนื่อยกับการที่ต้องมานั่งเทคแคร์คนอื่น บางครั้งเราแค่อยากไปและเรามานั่งอยู่กับคนที่เราแคร์ ไม่ต้องมาคอยอธิบายตัวเองอะไร ก็เป็นอย่างที่เราเป็นไม่ต้องเป็นคนอื่นและไม่ต้องเหนื่อย ซึ่งเราจะเคยเป็นคนแย่ขนาดไหน อดีตเราเป็นใครโดนประณามว่าอะไรมา เขาไม่เห็นแคร์เลยไม่เห็นตัดสินเราเลย และเขาก็ชอบเราบ้าๆบอๆ แบบนี้

อีกอย่างสามีเขาไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราด้อยกว่า แต่สามีเขาเป็นคนชมว่าเราเก่งนะ เขามองข้ามเรื่องบ้าๆบอๆ ของเราไป เขาจะมองว่าเราเลี้ยงครอบครัวหาเงินเอง ผ่านมาได้ยังไงตัวคนเดียว ซึ่งเขาจะเข้าใจเราและเราก็เข้าใจเขามันเป็นสถานะที่ดีในการเป็นเพื่อนกันที่สามารถคุยได้ทุกเรื่อง

Anging แปลว่าเราเข้าใจชีวิตมากขึ้น

สำหรับ Aging ไม่ได้แปลว่าเราแก่ แต่แปลว่าเราโตและเราเข้าใจและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นในทุกๆ วัน อย่างเช่นแต่ก่อนฉันต้องคอยเอาใจคนมากมาย แต่ก็มารู้สึกว่าคนนี้ไม่ต้องแล้ว เราคิดแค่ว่ากลับบ้านเรารู้สึกสบายไม่ต้องมานั่งคิดมากว่า อุ๊ยฉันไม่ได้เดินไปทักคนนี้เลย วันนี้ฉันเจอคนฉันแต่งตัวโอเคไหม อุ๊ยฉันไม่มีกระเป๋าใบใหม่เลย เขาจะคิดว่าฉันตามเทรนด์ไหม

คือทุกๆ วันเราก็คิดว่าเราไม่ต้องทำอันนี้ก็ได้แค่นี้เราก็โอเคแล้ว กระเป๋าใบนั้นฉันไม่ต้องมีร้านอาหารนั้นฉันไม่ต้องไป คือเรารู้สึกว่ามันเป็นการเรียนรู้ตัวเองในเวอร์ชันที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวัน และเหมือนเราเริ่มเข้าใจคนอื่นว่าเขามีเหตุผลอะไร อาจจะเป็นเพราะการที่เรามีครอบครัวด้วย และเพื่อนๆ ก็มีครอบครัวด้วย อย่างแต่ก่อนเวลาเราอยู่ด้วยกันเราจะรักกันมีกันแค่นี้ แต่พอเราเริ่มรู้ว่าเขามีครอบครัวแล้วเราก็จะเริ่มเข้าใจทุกคนและเขาก็จะเริ่มเข้าใจเรา

เลิกฟาด เลิกไฟว์ เข้าใจคนอื่น ทุกคนมีเส้นเรื่องของตัวเอง

สิ่งทำให้เรารู้สึกรักตัวเองมากขึ้นมีหลายอย่างเลย ชอบในความไม่ค่อยแคร์และด้วยความใจเย็น เรื่องให้อภัยอันนี้ก็สำคัญเราเป็นคนไม่ค่อยโกรธใคร แล้วไม่ค่อยคิดร้าย ไม่ค่อยอคติ ถ้าเกิดมีใครทำอะไรแปลกๆ หรือทำให้เราไม่ชอบเราก็จะช่างมันเถอะเขาอาจจะมีเหตุผลของเขา เราก็จะมีการให้อภัยคนมากขึ้น แต่ถ้าเมื่อก่อนนะเราพร้อมสู้พร้อมฟาดอยู่ตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้เราก็กลับมาตั้งคำถามว่าทำไปเพื่ออะไร ทุกคนเขาก็มีปัญหาของเขามีเส้นเรื่องของเขาเหมือนกัน อย่างตอนเด็กๆ เราจะคิดไม่ค่อยได้เราจะรำคาญพวกผู้ใหญ่ ตอนนี้เราก็จะมีความเข้าใจซึ่งมันมากับอายุ

เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าอายุ 30 แก่แล้ว แต่ตอนนี้คำว่าแก่ก็ไม่ใช่ 40 แล้ว เพราะฉันยังไม่แก่ ซึ่งคำว่าแก่ของเรามันเปลี่ยนไปแล้ว แก่ของเรามันคือผมหงอก หนังเหี่ยวนึกออกป่ะ เพราะบางคน 50 ก็ยังแซ่บยังหุ่นดีอยู่เลย และเขาก็ยังมีอะไรใหม่ๆ ที่เขาเพิ่งเจอในช่วงอายุนั้น บางคนเขาเพิ่งค้นพบธุรกิจตัวเองในช่วงอายุ 60 บางคนอาจจะเพิ่งแต่งงานตอน 65 หรือบางคน 40 ก็เพิ่งมีลูก ซึ่งมันมีเทคโนโลยีอะไรหลายๆ อย่างที่มันชะลอความแก่ ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าคำว่าแก่ความหมายมันเปลี่ยนไป แต่ก็ยังไม่อยากแก่อยู่ดี

เวอร์ชั่นคุณแม่ มองลูกเติบโต เรียนรู้ไปกับลูก 

มองภาพตัวเองตอนอายุ 40 ของตัวเองน่าจะนิ่งกว่านี้ ห่วงแต่ลูก ซึ่งอายุ 40 เราก็อยากจะมีลูกสักสองคน แต่ยังนึกภาพตัวเองไม่ออกว่าจะเป็นยังไง เพราะตอนนี้ฉันก็ยังอยากไปดูคอนเสิร์ตนั้นอยู่ ลูกนอนเดี๋ยวออกไปได้แหละ มันยังมีความอยากซ่าอยากเปรี้ยวอยู่ แต่เราก็ยังไม่รู้สังขารตัวเองว่าจะไหวขนาดไหน

แต่ 40 แล้วยังอยากจะนิ่งกว่านี้ รู้จักตัวเองมากกว่านี้ แต่เป็นเวอร์ชันที่เป็นคุณแม่ เพราะขนาดท้อง 8 เดือนครึ่ง (สัมภาษณ์วันที่ 21 สิงหาคม 2567) เราก็ยังเห็นภาพตัวเองเป็นแม่ไม่ออก คือเรายังไม่รู้เลยว่าจะเลี้ยงลูกยังไง ทำผิดถูกแบบไหน คือมันก็ต้องเรียนรู้ไปด้วยกันทั้งกับลูก แต่ก็ยังนึกภาพตัวเองไม่ออก ก็ยังมองหน้าสามีทุกวันและหัวเราะเพราะเรายังติ๊งต๊องกันอยู่

พอเราผ่านอายุ 30 มาแล้ว คือมันเปลี่ยนไป ปวดทุกอย่าง ปวดหัว ปวดคอ ปวดนิ้ว กินอะไรก็ไม่ค่อยได้ ปวดท้อง อย่างเมื่อก่อนคือชอบกินของมันมาก แต่ตอนนี้คือไม่ได้เลย อ้วกออกอย่างเดียวเพราะร่างกายกระเพาะมันไม่รับอาหารเหมือนตอนเราสาวๆ แล้ว กินเสร็จแล้วนอนดูทีวีก็ไม่ได้อีกเพราะจะเป็นกรดไหลย้อน คือทุกอย่างมันพังไปหมดเลย หรือเราอาจจะใช้ร่างกายมันหนักมากเพราะไม่เคยดูแลร่างกายมาก่อน เพราะตอนอายุ 20 ถึง 30 เราใช้ชีวิตแบบสุด"

งานนี้ แนท ธนวลัย เสริมปิดท้ายว่า "อาจจะเป็นเพราะร่างกายเราเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ ที่เราต้องใช้ชีวิตให้บาลานซ์ ซึ่งมันจะมีองค์ประกอบไปด้วย 6 อย่าง คือการกินที่ดี การนอนที่ดี การออกกำลังกาย ไม่เครียด เหมือนจัดการกับความเครียดของตัวเองให้ได้ และอยู่กับคนที่มี positive กว่า อีกอย่างนึงก็คือเราจะไม่ใช้ยาที่มันทำให้เป็นเอฟเฟกต์ต่อร่างกายเรา อย่างถ้าเรานอนน้อยนอนไม่พอร่างกายก็คือพังหมด".

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ขอบคุณแหล่งที่มา :  thairath