บันเทิง

- ตอบ
โพสต์ต้นฉบับ
ชื่อ: "มาย-อาโป" พิสูจน์ฝีมือใน “แมนสรวง” หนังไทยสุดประณีต ร่วมงานกันจนรู้มือ

 

ได้เวลาเปิดประตูความลับของ “แมนสรวง” ภาพยนตร์ไทยดราม่าสืบสวนอิงประวัติศาสตร์จากบริษัท บี ออน คลาวด์ ที่ฮือฮาตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว ได้สองนักแสดงฝีมือดีที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกจาก “คินน์พอร์ช เดอะซีรีส์” ทั้งมาย–ภาคภูมิ ร่มไทรทอง และอาโป–ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ถ่ายทอดเรื่องราวเข้มข้นสุดวิจิตรประณีต ร่วมกับทีมนักแสดงอีกคับคั่ง ผลงานการกำกับโดยปอนด์–กฤษดา วิทยาขจรเดช, ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน, ชาติชาย เกษนัส

เรื่องราวเงื่อนงำใน “แมนสรวง” สถานเริงรมย์อันโอ่อ่าและลึกลับที่สุดในพระนคร หลังม่านของสุขสถานที่ผู้คนนานาชาติมาชุมนุมกัน เป็นที่วางแผนการเปลี่ยนผ่านในปลายสมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์ รวมนาฏกรรม แห่งเลือดเนื้อและน้ำตา มหรสพ แห่งกิเลส กลลวง เข้าฉาย 24 ส.ค.66 ในโรงภาพยนตร์ เลยชวนมายและอาโปเล่าความตั้งใจ...

แฟนๆฮือฮาตั้งแต่แรกเริ่มได้ยินคำว่า “แมนสรวง” และเฝ้ารอคอย เราเตรียมตัวกันอย่างไร?

มาย “ผมดีใจนะครับที่เป็นคำว่าหนัง จุดมุ่งหมายตอนเด็กๆพอเราเริ่มได้ทำงานจริงๆเราอยากเล่นหนังเพราะเราเสพคำว่าหนัง มันดูจบได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง พอรู้ว่าจะได้เล่นหนังเราก็มีจินตนาการร่วมบางอย่างเกิดขึ้น พอได้เห็นตัวบทก็เข้าสู่พาร์ตของการทำงาน ก็จะมีวิธีการจัดการตัวเองตรงนั้น”

อาโป “ถ้าถามว่าพัฒนาบทยังไง มันใช้จินตนาการ เราก็ได้เอาข้อมูลเหมือนย้อนกลับไปปลาย ร.3 ต้น ร.4 ว่ายุคนั้นเป็นยังไง พวกเราทำตัวละครมาหมดว่าลักษณะนิสัยเราเป็นยังไงจับไปจุ่มกับบริบทในยุคนั้น แล้วใช้จินตนาการว่าเราอยู่ในสถานที่ที่ไม่ได้มีเขียนไว้ในพงศาวดาร แต่สมมติว่าถ้ามันมีอยู่จริงแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ใช้จินตนาการเยอะมากบวกกับข้อมูลที่มีอยู่จริงขั้นตอนการเตรียมตัวมันเยอะมาก เราทำงานกันเป็นทีม เราประชุมกันว่าเรามองยังไง แอ็กติ้งโค้ชและทีมมองยังไง เหมือนทำงานส่งกลับไปมาแชร์กันตลอดเวลา แม้กระทั่งแชร์กับตัวเอง เชื่อมทุกอย่างไปในทางเดียวกันเรื่องนี้เหมือนเป็นการรวมคนเก่งของทุกด้าน ตั้งแต่ทีมไฟ ทีมเขียนบทผู้กำกับ ทีมนักแสดง ไปจนถึงคนทำเพลงและทุกๆส่วน”

...

 

บทเขม นายรำ และฉัตร มือตะโพน คาแรกเตอร์เป็นอย่างไร?

มาย “ฉัตรเป็นผู้ชายที่รักความถูกต้อง รักในสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น รักครอบครัวโอบอ้อมอารี เป็นคนฉลาด วันหนึ่งที่เค้าต้องการจัดการแก้ไขอะไรบางอย่างเลยทำให้เค้าผลักตัวเองเข้ามาในแมนสรวง เพื่อมาเจอกับองค์ประกอบอื่นๆ ส่วนเรื่องความเป็นมือตะโพน ที่บ้านมีวงปี่พาทย์เค้าก็ซึมซับมา แต่ภารกิจที่เข้ามาในแมนสรวงก็แฝงเข้ามาในความเป็นมือเครื่องหนัง”

อาโป “เขมเป็นคนจริงใจ รักและเชือในสิ่งที่ตัวเองเป็นและจะทำ ทะเยอทะยาน เป็นคนแอ็กทีฟ สดใส”

เรื่องนี้ต้องฝึกทักษะอะไรใหม่ๆและต้องจริงจังแค่ไหน?

อาโป “สำหรับโปคงเป็นเรื่องการฝึกรำ พอรู้บทโครงสร้างของบทมันไม่ได้เกิดจากการรำมาก่อน มันเกิดจากการที่ทีมอยากทำให้หนังมันสนุก เพื่อให้เข้าถึงคนได้ทุกแบบ คนอาร์ตก็ดูได้ คนทั่วไปได้รับความสุขก็เข้าใจได้ เลยเอาการรำไปใส่ โปสร้างความเชื่อก่อน โปเชื่อเรื่องอินไซด์เอาต์ สร้างความเชื่อจินตนาการว่าถ้าเราทำสิ่งนี้ตั้งแต่เด็ก เราเริ่มเมื่อไหร่ ชอบมันตอนไหน พอชอบแล้วศึกษาอะไรบ้าง จากนั้นทางทีมก็ส่งไปเรียน ในจังหวะที่เราเริ่มเชื่อ พอเราไปเรียนเราสังเกตสีหน้าท่าทางแววตาของครูจูน อาจารย์ที่สอน ซึ่งเป็นอาจารย์เบอร์ต้นๆที่รำอิเหนาและฝึกเอาเตอร์ไปด้วย ฝึกดัดมือ ฝึกรำ ฝึกจินตนาการไปด้วย สร้างตัวละครไปเรื่อยๆ และค่อยๆแตกไปว่าเป้าหมายเค้าคืออะไร ถ้าให้เห็นภาพก็คืออย่างยุคสมัยนี้การเลื่อนชนชั้นทางสังคมคือวงการบันเทิง สมัยก่อนวงการบันเทิงคือการร่ายรำดนตรี เพราะมันคือข้อจำกัดคือความเป็นไพร่ มันสัมพันธ์กันหมด”

มาย “ของผมคือฝึกตะโพน มากกว่านั้นคือเครื่องหนัง ในวงปี่พาทย์คนตีเครื่องดนตรีเรียกว่าคนเครื่องหนัง ซึ่งมันตีไม่เหมือนกัน สิ่งที่คล้ายกันคือดนตรี โชคดีที่เราหลงใหลในกีตาร์ตั้งแต่เด็กๆถึงตอนนี้ มันก็เอามาลิงก์กันได้ แต่สิ่งที่พิเศษและผมแปลกใจเมื่อเข้ามาในวงปี่พาทย์คือดนตรีไทยดิ้นได้เยอะ อิมโพรไวส์ในตะโพนหรือกลองแขกมีเยอะมาก พอเราไปซ้อมต้องพยายามยังไงให้ได้ทักษะที่เยอะและเร็วที่สุด โชคดีครูที่สอนเค้าคือครูที่เก่งและทำให้ย่อยง่าย และสุดท้ายตะโพนกับคนรำต้องซิงก์กัน มันก็เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมฉัตรคือตะโพนแล้วเขมคือนายรำ”

อาโป “มันเหมือนพื้นฐานทักษะที่เหมาะกับคนคนนั้น เหมือนตัวโปถนัดใช้ร่างกาย พี่มายถนัดดนตรี”

การที่ต้องเก็บความลับของหนังไว้แต่บอกใครไม่ได้รู้สึกยังไง?

อาโป “ในฐานะคนทำเราก็อยากให้คนสนุกกับการจินตนาการและไปสัมผัส เพราะถ้าเกิดเค้ารู้มันจะไม่มีช่องว่างให้เค้าได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา”

คนมาตื๊อถามเยอะมั้ย?

มาย “ตลอดเวลา (ยิ้ม) ผมจะบอกว่าผมไม่บอก ความลับ ระหว่างทางมันคือความสุขของการได้ลุ้น แม่ก็ถามใหญ่ตั้งแต่ถ่ายเสร็จว่าใครตาย (ยิ้ม) มีคนตายใช่มั้ย บอกก็รู้หมดสิ”

ถ้าให้นิยามเรื่องนี้แบบสั้นๆเราจะได้พบกับอะไรใน “แมนสรวง”?

อาโป “โปว่ามันเหมือนเวลาเราเข้าไปดูมิวสิคัลหรือละครเวทีเรื่องหนึ่ง เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะรู้สึกอะไร แต่เราอยากได้อย่างเดียวคือฉันจะเข้าไปอยู่ในนั้น พาฉันไปหน่อยได้มั้ย แล้วหนังเรื่องนี้มันเป็นแบบนั้น มันมีช่องว่างที่ให้คนดูได้เข้าไปและคิดตามไปเรื่อยๆ”

มาย “เรื่องราวของแมนสรวงคือการที่บุคคลต่างๆจากแต่ละที่ได้มาเจอกันในแมนสรวง และเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ คำว่าแมนสรวง แมนคือคน สรวงคือสรวงสวรรค์ ในที่นี้แมนสรวงแปลว่า สรวงสวรรค์บนดิน เป็นที่ที่พิเศษที่คนจะเข้ามาต้องเป็นคนพิเศษ เหมือนมีเมมเบอร์ในการเข้ามา ส่วนมุมมองของคนที่ทำโชว์ก็ต้องเป็นโชว์ที่พิเศษ เรื่องราวเกิดขึ้นมีความสัมพันธ์ทั้งที่ไปในทางที่มืดและทางที่สว่าง เพราะทุกคนมีภารกิจของตัวเองในการเข้าไป ซึ่งเป็นการเชื่อมเรื่องราวทั้งหมด รวมทั้งเรื่องการบ้านการเมือง คนดูก็จะได้เห็นเรื่องราวว่าเกิดขึ้นยังไงและจบลงยังไง” 

ในเรื่องนี้มีฉากไหนที่เราสองคนเข้าฉากด้วยกันแล้วรู้สึกประทับใจที่สุด?

อาโป “สำหรับโปคงเป็นซีนบนต้นไม้ เพราะว่ามันต้องเชื่อใจกัน ไปนั่งบนต้นไม้ก็ยากแล้ว และยังต้องเชื่อใจกันว่าเราจะพามันไปได้ ต้องเชื่อในอีกคนว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มันคือไคลแมกซ์จุดหนึ่งของเรื่อง เป็นการใช้อารมณ์ความรู้สึก”

มาย “ก็คือซีนต้นไม้ที่รู้สึกประทับใจเหมือนกัน ด้วยความซับซ้อนของตัวละครในโมเมนต์นั้นด้วย เป็นจังหวะที่สุกงอมของเราที่มีความประทับใจร่วมในบท จริงๆเรื่องนี้จะมีพัฒนาการของตัวละครตั้งแต่เริ่มจนจบ มีความซับซ้อนในหลากหลายมุมมากครับ”

...

 

รักอะไรในตัวละคร “เขม” และ “ฉัตร”?

มาย “ผมรักในตัว “ฉัตร” เพราะผมรู้สึกว่าเค้าเป็นคนจิตใจดี เค้าเป็นคนมองโลกบนความเป็นจริง ก็เหมือนเรานะ พอเรามีจิตใจที่ดีและมองทุกอย่างบนความเป็นจริงเราจะเห็นข้อดีข้อเสีย เราสามารถเลือกที่จะปฏิบัติได้ อาจจะมีหลงทางบ้างตามธรรมชาติของคนแต่สุดท้ายมันก็กลับมาได้ง่ายกว่าคนที่เลือกมองแต่ข้อดีของตัวเอง เลยยิ่งตอกย้ำชัดว่าการที่เป็นเราอย่างนี้มันก็โอเค มันก็ไม่ได้ทำร้ายใคร”

อาโป “ผมชอบ “เขม” ในความเป็นนักสู้ เค้าต่อสู้ทั้งภายนอกและภายใน เค้าต่อสู้ทั้งความทะเยอทะยานที่เค้าอยากเติบโตขึ้น ภายในคืออะไรที่มันไม่ดีในตัวเค้า เค้าพยายามยอมรับและเติบโต”

เป้าหมายซอฟต์เพาเวอร์ของแมนสรวงที่มีความเป็นไทย เราอยากไปถึงจุดไหน?

อาโป “ในมุมโป โปอยากให้มันเกิดในจุดแรกก่อน อยากให้คนไทยด้วยกันเองซัพพอร์ตหนังไทยและมันก็ไม่ได้มีหนังไทยสไตล์นี้ให้ดูมากนัก ถ้าเราซัพพอร์ตกันเองแล้วมีมุมมองยังไงบ้างมันถึงกระจายออกไปได้”

มาย “ผมรู้สึกว่าคำว่าซอฟต์เพาเวอร์มันคืออะไรที่ต้องไม่ยัดเยียด อะไรที่เราต้องนำพาไปให้คนก็ต้องมีความสุขร่วมด้วยข้อดีคือผมรู้สึกว่าต้นทุนเรามีคือแฟนๆในหลายประเทศ ตั้งแต่เราเปิดตัว เค้าก็ได้นึกถึงคำว่าไทยมากขึ้น หน้าที่ของเราคือการขายให้ไปสู่คนหมู่มากที่สุด ผลพลอยได้ผมว่ามันจะตามมาเอง ที่สำคัญเวลาเราพูดถึงซอฟต์เพาเวอร์ คนจะมองว่าเป็นการส่งออก เปรียบกับข้าวก็ได้ เมื่อก่อนข้าวดีๆคนไทยไม่ได้กิน ณ จุดนี้ ผมรู้สึกว่าถ้ามีโอกาส กับคนไทยหรือเด็กๆมีโอกาสได้ดูก็คงดี ย้อนกลับไป 20 ปีที่โรงเรียนพาไปดูหนังสุริโยไท นางนาก มันก็เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆว่าหนังไทยเป็นอย่างนี้เหรอ ประสบการณ์ในโรงหนังเป็นแบบนี้ ทำให้เราสนใจวงการบันเทิงหรือความเป็นไทยตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้”

...

 

ร่วมงานกันมาถึง ณ วันนี้ความรู้ใจไว้วางใจกันและกันมีมากแค่ไหน?

มาย “เราทำงานด้วยกันมาถือว่านานนะ น่าจะ 3 ปีที่ได้เจอกันตลอด มันก็รู้มือกันว่าติดไม่ติดตรงไหน เห็นพัฒนาการของกันและกัน เราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยสัญชาตญาณ จริงๆก็ไม่ค่อยได้มานั่งจับเข่าคุยกันว่าอย่างนี้ดี ไม่ดีนะ 2-3 ปีที่แล้วจะคุยบ่อยแต่พอมันผ่านลูปที่เจอกันทุกวัน มันก็จะเห็นสิ่งที่มันตามมาจากสิ่งที่เราทำร่วมกัน เรียกว่ารู้มือกันครับ”

อาโป “เราทั้งคู่ถนัดในการปรับตัว สมมติว่าเราทำสิ่งหนึ่งกันอยู่ แล้วเราเห็นว่าเค้ากำลังไปผิดทาง เราแค่ทำอะไรสักอย่าง พอเค้าสัมผัสได้เค้าก็จะโอเครู้แล้วโดยที่มันไม่ต้องบอกกันด้วยซ้ำ เหมือนเรามีแก่นหลักที่เหมือนกันคือเป็นคนที่ตั้งใจทั้งคู่ และพยายามทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด พอแก่นตรงนี้เราเหมือนกัน มันเลยพร้อมที่จะปรับเข้าหากันตลอด มันจะมีหลายๆครั้งที่เราทำงานกับใครสักคนแล้วมีความรู้สึกว่าจะได้มั้ยนะ แต่สิ่งนั้นมันไม่เกิดกับเราสองคน”

มาย “เพราะมันไม่ได้สักอย่าง (หัวเราะ)”

อาโป “ไม่ๆ มันเหมือนเราตื่นเช้ามาเรารู้ว่าเค้าทำการบ้านมาแล้ว”

อยากให้เล่าว่ายังมีมุมไหนของอีกคนที่คนอื่นไม่ค่อยรู้บ้างมั้ย?

อาโป “โปว่าเรามีโอกาสได้ให้สัมภาษณ์ได้เห็นเราในหลายๆมุมอยู่แล้ว ซึ่งค่ายเราอยากให้เราเป็นตัวเอง เลยไม่ได้มีมุมไหนที่แฟนๆรู้จักเราน้อยเลย”

มาย “คนที่ได้ติดตามพวกเราน่าจะรู้หมดไส้หมดพุงแล้ว (หัวเราะ) ในเรื่องนิสัย ถ้าให้ตอบของอีกคน แฟนๆน่าจะเห็นเยอะกว่าด้วย แต่มีอีกอย่างที่คนไม่รู้คือ คนคิดว่าเราชอบนัดกันแต่งตัวมา จริงๆคือไม่ได้นัดเลย โทนสี แหวน นาฬิกา คือคล้ายกันโดยบังเอิญ”

 

อาโป “ผมว่าพอเราอยู่ด้วยกันบ่อยๆมันจะมีเซ้นส์บางอย่างที่เราซึมซับกันไปมา มันจะรู้สึกคล้ายๆกันว่าอากาศแบบนี้ต้องแต่งตัวแบบนี้ เราไปสัมภาษณ์โปรโมตหนังมา 2-3 วัน ก็แต่งตัวคล้ายกัน เกิดขึ้นบ่อยมาก จริงๆมันคือความเข้ากันได้ดี แล้วมันเลยบังเอิญลงตัว”

ถึงตอนนี้ 10 ปีแล้ว ที่มาย–อาโป รู้จักกัน รู้สึกยังไงที่ได้วนกลับมาเจอกันอีกครั้ง จนมาถึงวันนี้?

อาโป “เราเจอกันในงานเดินแบบแล้วมันเหมือนเหลือเชื่อมากที่แฟนๆรู้กระทั่งตำแหน่งที่เรายืน ซึ่งเราจำไม่ได้หรอก”

มาย “ผมจำได้ว่างานแบบไหน น่าจะจัดที่ไหน แต่จำไม่ได้ว่าใครยืนตรงไหน แต่เรายืนต่อกัน พอแฟนๆเอารูปมายืนยันก็เออใช่”

เป็นเรื่องของโชคชะตามั้ย?

อาโป “จากวันนั้นในหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้น จนมาวันนี้โปรู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่คล้ายแมนสรวงตรงที่มัน Beyond Imagination เราไม่สามารถคาดเดาหรือกำหนดได้เลย ถ้าถามตามตรงว่ามาถึงวันนี้กันได้ยังไง เอาจริงๆพวกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันมาได้ยังไง แต่พวกเราแค่ทำงานแล้วเราตั้งใจ เพราะเราไม่สามารถคิดแทนคนดูได้เลยว่าเค้าจะชอบมั้ยหรือเราจะได้รับสิ่งต่างๆกลับมารึเปล่า แต่มันเกิดขึ้นเอง”

มาย “ผมว่าหน้าที่ของคนสร้างงาน เราไปคาดหวังว่าคนจะชอบไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้แน่นอนคือเต็มที่กับสิ่งที่เราทำได้ ซึ่งโปกับผมมีตรงนี้เหมือนกัน”

อาโป “สิ่งหนึ่งที่ผมคิดคือคนชอบพวกเราในแบบที่เป็นเรา ณ ปัจจุบัน คนต้องการความเป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่กำลังขาด คนเก่งมีเยอะมาก ทุกคนเก่งทุกอย่างดูเพอร์เฟกต์ ทุกวันนี้มี AI ยิ่งเป๊ะ แต่ว่าความเป็นมนุษย์มันคือความยืดหยุ่น เป็นธรรมชาติที่มันมีทั้งดีและไม่ดี อันนั้นคือสิ่งที่พวกเรามี เราอาจจะไม่ใช่ทีมที่เก่งที่สุด แต่เราก็พัฒนา มันอาจจะช้าแต่เราก็ทำทุกวัน”.

 

 

 

 

 

 

 

ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/movie/2718340