บันเทิง

- ตอบ
โพสต์ต้นฉบับ
ชื่อ: "อะตอม-ชนกันต์" เปิดสีสันใหม่! กล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน พร้อมใช้ชีวิตคู่เรียบง่าย

 

 

เปลี่ยนสีสันแบบเซอร์ไพรส์!! ศิลปินนักแต่งเพลงมากความสามารถ “อะตอม-ชนกันต์ รัตนอุดม” เลือกก้าวออกจากบ้านหลังใหญ่ มาเริ่มต้นการทำงานในมุมมองใหม่กับค่าย ‘LOVEiS Entertainment’ ด้วยลุคที่เติบโตขึ้นและแซ่บจัดจ้าน ประเดิมซิงเกิลแรกเพลง ‘Medium Rare’ สะท้อนความรู้สึกคนชอบเล่นกับไฟเปรียบหัวใจตัวเองเป็นเหมือนสเต๊กเป็นก้อนเนื้ออ่อนๆที่ควรบาลานซ์ปรุงให้สุกพอดีระดับ Medium Rare งานนี้ “อะตอม” เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการทำงานรวมทั้งเรื่องชีวิต หลังสวมแหวนขอสาว 

“พิม” แฟนสาวนอกวงการแต่งงานปลายปี65

เป็นอย่างไรบ้างกับการย้ายมาบ้านใหม่ “เลิฟอิส”?

“ดีครับ เรียกว่าเป็นการเริ่มงานในเวย์ใหม่ๆกับการทำงานในทีมที่อาจจะเล็กลงกว่าที่เราคุ้นเคย ก็มีข้อดีคือการทำงานใกล้ชิดกันแบบ

ครอบครัว แชร์และไปด้วยกันได้อย่างทันท่วงที เราก็ตัดสินใจจะลองมาที่นี่”

ต้องทำอะไรเยอะขึ้นมั้ย? “อาจจะเป็นช่วงที่เราอยากทำอะไรเยอะขึ้นด้วย เราอยู่กับบ้านเดิมที่ผูกพันรักกันมาเป็น 10 ปี ก็มีระบบที่

แข็งแรงมากๆซึ่งข้อดีตรงนั้นกับการทำงานของเรามันอาจจะเจอจุดที่ไม่ลงล็อกบ้างอะไรบ้าง พอถึงจุดที่เรามองว่าเราอยากทำงานที่

ได้ใช้หัวครีเอทีฟมีส่วนร่วมกับการคิดงานเยอะๆ และมีวิธีการเข้าหาคนฟังในรูปแบบใหม่ๆเราก็อยากลองดู ก็ถือว่าเป็นช่วงจังหวะชีวิต

ในการเปลี่ยนผ่าน เราพูดคุยกับทุกส่วนเข้าใจกันดี ขอบคุณทุกคนที่เคยให้โอกาสอะตอมมาเสมอครับ มาที่นี่เราได้ลองอะไรใหม่ๆ

เยอะ จริงๆก็มีโอกาสได้คุยกับหลายๆค่ายที่สเกลใกล้เคียงกัน แต่ที่นี่เพื่อนเยอะเต็มไปหมดเลยด้วย”

 

 

ตอนตัดสินใจออกจากบ้านใหญ่ใช้เวลานานแค่ไหน?

“ใช้เวลาเป็นปีครับ จริงๆมันประกอบกันหลายส่วน ไม่ใช่ว่าตรงโน้นไม่ดี สำหรับเราเป็นความเหมาะกับสิ่งที่เราให้ความสำคัญและ

ความสนใจคือการคิดงานที่ใหม่ เราเองไม่ได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานของตัวเองมาสักพัก เราอยู่กับสูตรเดิมที่เราเองก็พบกับความลำบากในการทลายกรอบนั้นออกมา เพราะฉะนั้นการเลือกเปลี่ยนบ้านเองก็เป็นส่วนที่ทำให้เราได้ลองอะไรใหม่ๆ อยากลองอะไรที่มันสดชื่นสดใส หลายคนก็มองว่ามันเสี่ยง ผมเองก็ทราบดีว่ามันเสี่ยง แต่ไม่ลองมันก็ไม่รู้”

ความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับมีอะไรบ้าง? “เราอยู่ที่ที่ใหญ่มาก ความสามารถในการขยายเราออกไปทั่วประเทศมีอยู่แล้วไม่มีใครสู้

บ้านเก่าได้ แต่เรามองสิ่งที่สำคัญคือการเข้าใจผู้ฟัง เข้าใจคนที่เสพงานของเรา ที่เราต้องหาวิธีคอนเนกต์กับเค้าอีกครั้งเพราะอะตอม

เคยมีอัลบั้มที่แมสมากๆคอนเนกต์กับคนกับวัยรุ่น หลังจากนั้นอะตอมก็ไปทำเพลงสไตล์งานกล่องแบบความชอบส่วนตัว ก็ผ่านมา

หมดแล้ว สำหรับอะตอมวันนี้มันอยู่ในกราฟที่ไม่ใช่ช่วงเซตสตาร์ตแล้วพุ่งขึ้นเหมือนช่วงแรกๆ เราก็ไม่ได้เฮิร์ตหรืออะไรนะ มันเป็น

วัฏจักรของทุกสายอาชีพด้านบันเทิง มันมีเวลาของมัน แต่ ณ จุดนี้ของอาชีพเราต้องการสร้างอะไรที่ใหม่ขึ้น”

เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง?

“ผมว่ามันก็ต้องเจอในแต่ละช่วงของชีวิต ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่ตัดสินใจแบบผม แต่เราคิดว่าถ้าไม่ลองเราก็จะไม่มีวันรู้ เราก็จะอยู่แต่ในคอมฟอร์ตโซนและสิ่งที่เราคุ้นเคยกับการทำอะไรซ้ำๆไปเรื่อยๆซึ่งอันนั้นน่ากลัวกับผมมากกว่าความเสี่ยงที่ต้องเจอ เรานึกถึงวัน

แรกที่ได้ปล่อยเพลง ตอนนั้นแค่เราได้ปล่อยเพลงเราอิ่มมีความสุขจัง โดยที่ไม่ได้หวังว่ามันจะต้องประสบความสำเร็จ พอเราทำงาน

นานๆแล้วประสบความสำเร็จขึ้นๆ กลายเป็นเป้าเรามันเคลื่อน ความสุขเราก็ลอยตามเป้าขึ้นไป ไม่อิ่มสักที ซึ่งเราได้มาค้นพบทีหลัง

ว่ามันกลายเป็นช่องในใจเราที่เติมยังไงก็ไม่เต็ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดที่ทุกคนต้องการเก่งขึ้นดีขึ้น มีเป้าที่ใหญ่ขึ้น แต่บางครั้งมันอาจจะ

ทำให้ใจเราแย่ได้ถ้าเราไม่คุยกับตัวเองว่าที่ทำอยู่จะเอาอะไร มีความสุขกับสิ่งที่ทำรึเปล่า เอาดัง เอาเงิน ไม่สนความสุขในการทำงานรึเปล่า เป็นเรื่องที่เราคุยกับตัวเอง แน่นอนว่าการตัดสินใจครั้งนี้อาจจะมีความเสี่ยงต่อเรื่องความดังหรือเรื่องรายได้ ผมเองคิดว่ามันก็

ต้องมีมันอาจจะมีอะไรบางอย่างกลับขึ้นมา บางอย่างลดน้อยลง ก็บาลานซ์ไปเพื่อให้เรายังอยู่ต่อได้ ถ้าเรายังยึดติดอยู่แต่กับความสำเร็จที่ผ่านมาในอดีต เราก็จะมีอยู่แค่นั้นแล้วไม่ได้ทำอะไรใหม่”

 

 

 

เปลี่ยนวิธีการทำงานแล้วยังเปลี่ยนลุคเปลี่ยนสีสันตัวเองใหม่?

“ที่ต่างออกไปคือเราก็เปิดรับอะไรใหม่ๆเยอะมาก มีหลายอย่างที่เรายอมทำวันนี้ ซึ่งแต่ก่อนเราก็คงจะไม่ยอม เช่น ชุดหนังแดงแหวกอก ชีวิตนี้ไม่เคยมี หรือการได้ลองเข้าหาคนฟังในแบบใหม่ๆ เช่น การยอมเริ่มเข้าไปใน Tiktok เมื่อก่อนเราก็จะไม่เล่น มันเป็นอีโก้ 

ความติดอยู่กับตัวตนเก่าๆทำให้เราไม่ยอมเข้าหาคนฟัง เป็นเรื่องที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อก่อนคนเห็นผมเล่นแต่อินสตาแกรม 

ลงรูปตามใจฉัน มันเลยเป็นช่องว่างระหว่างคนฟังกับเราที่เราอยากให้มันหดแคบลง รวมถึงการปล่อยเพลงใหม่ๆ และวิธีการโปรโมต

เพลง”

เปลี่ยนลุคมีสีสันขึ้น เห็นตัวเองแล้วรู้สึกยังไง? “ก็รู้สึกเด็กลงนิดหน่อยในแง่ของความสดชื่นในการทำงานและการได้กลับมาปล่อยเพลงอีกครั้งก็เป็นอะไรที่เรารอมานาน แล้วก็มีงานใหม่ๆช่วงโควิดเขียนเพลงไว้เต็มเลย ทยอยปล่อยออกมา เพลงแรกที่เราเลือกคือ “Medium Rare” เราอยากให้คนได้เห็นอะไรที่ฉีกที่สุดก่อน คนก็จะคุ้นกับอะตอมมานาน อยู่กันมา 8 ปีกว่ามันก็มีภาพในใจคนฟังว่าอะตอมต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเจ้าพ่อเพลงเศร้า เป็นคนใส่สูท ดูมีหลักการเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย ซึ่งสุดท้ายนั่นมันก็เป็นส่วนหนึ่งในตัวเราแหละ แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด ทีนี้ถ้าอยากจะให้คนเห็นมุมอื่นบ้างมันก็ต้องทำตอนนี้เลยเลือกเพลง Medium Rare แล้วก็คุยกับทีมไปเลยว่าจะเอาให้ฉีกออกมาจากที่คนคุ้นเคย ซึ่งฟีดแบ็กแฟนๆก็ดีครับ เค้าก็ดูชอบกัน”

เพลงยังคงเป็นเพลงอกหักประชดประชันอยู่มั้ย?

“ก็เป็นนะ เพลง Medium Rare นี่ก็เป็น ก็คงหนียากเพราะเราชอบเล่าเรื่องประมาณนี้ เนื้อหาก็จะมีเพลงอกหัก กวนประสาท จิกกัด มันก็เป็นฟีลที่เราคุ้นเคย แต่คิดว่าปีนี้น่าจะได้ยินเพลงรักนะ สุดท้ายเพลงที่อยู่นานและคนซึมซับง่ายคือเพลงที่ตรงไปตรงมา คำพูดที่จริงใจ พูดตรงๆอย่างลึกซึ้ง อย่างเพลง please ตอนนี้รู้แล้วว่าเพลงประมาณนี้เป็นเพลงที่คนคิดถึงจากอะตอมเลยได้ทำการเตรียม

สต๊อกไว้แล้ว”

 

 

เราร้องเพลงอกหักมาเยอะแล้วเรื่องมาจากชีวิตเราพอต้องมาร้องเพลงรักยากมั้ย? “ไม่ยากหรอกครับ ช่วงก่อนหน้านี้ยากตอนร้องเพลงเศร้าเพราะเรายังใช้ชีวิตอยู่กับตรงนั้นจริงๆ มันเหมือนเอาหนังชีวิตเรามารีรันทุกครั้งเวลาเราไปแสดงคอนเสิร์ต ก็จะมีจุดยากแต่เราก็ผ่านไปได้”

โปรเจกต์ต่อจากนี้จะมีสีสันทิศทางไหน? “ต้องบอกว่าเราทิ้งความเป็นตัวเองไปไม่ได้ ดนตรีเราก็ยังชอบเพลงโซล อาร์แอนด์บี 

เพียงแต่อาจจะโมเดิร์นขึ้นใหม่ขึ้น ได้ลองออกไปในแนวดนตรีอื่นๆเยอะขึ้น รวมถึงฟีเจอริงกับหลายๆท่านเยอะขึ้น เพราะก่อนหน้านี้

แทบไม่ยุ่งกับใครเลย ไม่ฟีทกับใคร อย่างที่บอกว่าเราเหมือนทำงานอยู่ในถ้ำ เราก็คิดของเราคนเดียว น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการได้

เริ่มคอนเนกต์กับศิลปินเพื่อนร่วมงานคนฟังใหม่อีกครั้งหนึ่ง”

 

 

 

 

บอกว่ารู้สึกดูเด็กลงแล้วใช้ชีวิตสนุกขึ้นมั้ย?

“ผมว่าถ้าในเรื่องการทำงานก็เห็นได้ชัด ด้วยความที่มาอยู่ที่นี่เพื่อนเยอะด้วย มันก็มีการแลกเปลี่ยนอะไรกันมากขึ้น ส่วนในเรื่องการ

ใช้ชีวิตเองใกล้แต่งงาน ก็คงเปลี่ยน แต่ส่วนในเรื่องชีวิตส่วนตัวเองก็ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่เราไม่ไปเคร่งเครียดกับมันเท่าแต่ก่อน เราก็ปล่อยให้อะไรเป็นไปตามจังหวะของมัน แล้วก็ลดความคาดหวังตัวเองลงมา ลดความคาดหวังทุกเรื่อง เป้าที่มันเคยลอยขึ้นไปสูงเราดึงกลับลงมาหน่อย และพยายามมองว่าที่ทำมามันก็สำเร็จแล้วนะ เริ่มที่จะ appreciate ชีวิตมากขึ้นในแต่ละวัน เป็นปีที่ตั้ง

แต่ช่วงโควิดผ่านมาจนถึงตอนนี้เราอ่านหนังสือค่อนข้างเยอะ มันเปลี่ยนอะไรไปหลายๆอย่างรวมถึงวิธีการคิดของเรากับชีวิตและการ

ทำงาน”

 

 

เติบโตขึ้นเพราะเตรียมมีครอบครัวแล้ว เราตอนขอแต่งงานหน่อยดูเรียบง่ายมาก?

“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวเราค่อนข้างเรียบง่าย ยิ่งเป็นเรื่องแฟนเรื่องคู่ พอโตมาถึงระดับนึงเราก็ไม่อยากได้อะไรที่เกินไปกว่าความจำเป็น 

ตอนขอแต่งงานก็อย่างที่เห็นครับเรียบง่าย รวมถึงงานแต่ง บ้านและวิธีที่จะอยู่ด้วยกันค่อนข้างเรียบง่าย เราเน้นความเป็นเพื่อนตั้งแต่

แรก ผมว่าทุกความสัมพันธ์ที่อยู่ในชีวิตเราจะเป็นรูปแบบไหนก็ตาม มันต้องเป็นเพื่อนกันได้ก่อน เป็นเพื่อนที่เราไว้ใจ บอกเรื่องที่ดีที่

สุดหรือเรื่องที่แย่ที่สุดได้โดยที่เราไม่รู้สึกเคอะเขินหรือกลัวว่าจะถูกตัดสิน ซึ่งก็โชคดีที่เราเจอ จริงๆผมปล่อยจอยเลย พอเลยอายุ 25 มา ตอนจีบกันผมจะบอกเลย เจอให้ครบทั้งอะตอมร่างมาร อะตอมร่างเทพ เราเองก็ด้วย เราก็คิดว่าเราใจกว้างขึ้นกว่าเมื่อก่อนในเรื่องนี้ บางเรื่องเราไม่เห็นด้วยแต่ก็รับได้ พอมันสร้างด้วยความเข้าใจระดับนี้ตั้งแต่ต้น ทุกอย่างมันก็ง่าย เราเหมือนได้อยู่กับเพื่อนสนิททุกวันที่เราได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ”

คบกันมากี่ปี? “5 ปีครับ”

ไม่ถือว่าเร็วไปใช่มั้ยสำหรับแต่งงาน? “ไม่เร็วครับ แต่ถ้านานกว่านี้ไม่แน่ (หัวเราะ) จริงๆผมว่าโปรโมชันมันอยู่ไม่นานหรอกสัก 2 ปีเต็มๆก็นานมาก มันปฏิเสธไม่ได้ว่าพอถึงจุดหนึ่งมันก็จางลงไป ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนที่เข้าใจกันมาก่อนตอนจางแล้วทำไงล่ะ เหมือนกับ

เวลาเราได้ของใหม่ ก็เห่อชอบหลงรัก เวลาผ่านไปก็กลายเป็นเฉยๆ เราเลยคิดว่ามันโชคดีนะที่เราได้เจอคนหนึ่งที่เราอยู่กันเหมือน

เพื่อนได้ตั้งแต่ต้น”

ณ ตอนนี้เรายังเป็น “อะตอม” ที่ทุ่มเทกับความรักมากมั้ย?

“แต่ก่อนเรื่องเยอะ เรียกร้องเยอะ ด้วยความที่เรายังไม่เข้าใจ เราคิดว่าความรักในวัยรุ่นในแบบของเรานี่แหละเรียกว่ารัก ฉันต้องเป็น

ของเธอ เธอต้องเป็นของฉัน ไปไหนเธอต้องบอกฉันตลอด ซึ่งสุดท้ายมันก็มีความทำตัวเองเป็นคนงี่เง่าขนาดนั้นเค้าเลยทนไม่ไหว 

เรื่องต่างๆก็เลยตามมา ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ได้หรอก คิดว่าฉันเป็นเหยื่อฉันถูกทำร้าย ด้วยความที่เราไม่เข้าใจว่าจริงๆรักกันมันต้องให้

สเปซกัน”

ณ วันนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว? “มันก็คงมีบ้างแต่มันไม่เยอะเท่าแต่ก่อน เราคิดว่าการให้สเปซกันมันสำคัญมากๆในการใช้ชีวิตร่วมกัน ต่อให้เราแต่งงานกันเราก็คุยกันไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าที่บ้านเรามีห้องตรงกลางนะ เราก็มีห้องของเรา เธอมีห้องของเธอ วันที่เราไม่อยากคุยกันจะได้มีสเปซของตัวเอง แล้วค่อยมาเจอกันในวันที่โอเค ไม่งั้นมันคงอยู่กันไม่ได้ เราใช้พื้นที่ส่วนตัวในการทำงานค่อนข้างเยอะ ใช้สมองคิดงานต่างๆ เพลง ภาพ แผนงาน เค้าเองก็ต้องมีที่ของเค้า ถ้าคุยกันรู้เรื่องว่าเราไม่ต้องติดกันตลอดเวลามันก็โอเค”

เค้าเข้าใจมั้ยด้วยความเป็นผู้หญิง? “ก็เข้าใจนะครับ เราก็ไม่ได้ทิ้งซะจนห่าง ไม่ใส่ใจ ทุกอย่างก็บาลานซ์ตรงกลาง ก็มีเรื่องที่มีอารมณ์มากกว่าเหตุผลบ้างแต่มันก็เป็นธรรมชาติที่ต้องมีบ้าง ก็ถือว่าเค้าค่อนข้างเข้าใจเราเยอะ”

เคยมีปัญหามั้ยกับการเล่นไปคอนเสิร์ตต่างๆ? “ก็มีบ้างครับ แต่ทุกครั้งที่เรากลับมาเราก็ไปหาเค้าตลอด เค้าทำงานกลางวัน เรา

ทำงานกลางคืน ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันแต่ก็ใช้เวลาปรับจูนเข้าหากันได้”

แพลนแต่งงานเมื่อไหร่? “น่าจะต้นปีหน้าครับ”

ตอนเด็กๆ “คลั่งรัก” แต่ตอนนี้ “รักเป็น”?

“ใช่ครับ ด้วยอายุด้วย ช่วงวัยรุ่นเรามีแฟนมันจะวูบวาบกว่านี้ด้วยฮอร์โมนด้วยอะไรต่างๆ เรื่องรักใหญ่สุดในชีวิต เธอทำอะไรฉันก็จะ

เป็นจะตาย กลายเป็นจุดที่คอยนำเราไปทางโน้นทางนี้ไปตลอดแทนที่จะเป็นส่วนที่ตามเราเสริมให้ชีวิตเราดีขึ้น ก็โชคดีที่การเป๋ไป

ของเราทำให้เรามีเรื่องมาเขียนเป็นเพลงต่างๆ”

ชีวิตรักแฮปปี้แล้วจะแต่งเพลงเศร้ายังไง? “มันก็ยังมีอยู่ครับ นั่งไทม์แมชชีนย้อนไปบ้าง ในการเขียนเพลงมันไม่ได้หายไปเลยใน

แง่มุมหรือวิธีการเล่าเรื่อง เพียงแต่ถ้าเป็นประสบการณ์ตรงเรียลไทม์เราเป็นเพลงอกหัก คงต้องขออนุญาตคนฟังว่าอย่าให้ผมกลับไป

เจอเลยครับ แต่ถ้าถามว่าจะได้ยินเพลงเศร้าจากอะตอม มีครับ”.

 

 

 

 

 

 

ขอขอบคุณ แหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/entertain/news/2691493